eSIM (ซิม eSIM) ย่อมาจาก Embedded SIM คือซิมการ์ดดิจิทัลรูปแบบใหม่ที่ฝังอยู่ภายในอุปกรณ์ (เช่น สมาร์ทโฟน แท็บเล็ต หรือสมาร์ทวอช) ตั้งแต่ขั้นตอนการผลิต โดยไม่มีชิปการ์ดที่ต้องถอดเข้า-ออกเหมือนซิมการ์ดทั่วไป. eSIM ทำงานผ่านการโหลดข้อมูลโปรไฟล์ซิม (หมายเลขโทรศัพท์ แพ็กเกจ ฯลฯ) ลงบนชิปที่ฝังอยู่ในเครื่อง โดยผู้ให้บริการเครือข่ายจะส่งข้อมูลนี้ผ่าน QR Code หรือลิงก์สำหรับติดตั้ง เมื่อสแกนและติดตั้งแล้ว อุปกรณ์ของคุณจะสามารถใช้งานเบอร์นั้นได้ทันทีโดยไม่ต้องใช้นาโนซิมการ์ดแบบเดิมอีกต่อไป
ปัจจุบัน eSIM กำลังได้รับความนิยมมากขึ้น ทั้งในประเทศไทยและทั่วโลก เนื่องจากความสะดวกสบายและความสามารถในการรองรับหลายเบอร์ในเครื่องเดียว รวมถึงการใช้งานที่ยืดหยุ่นสำหรับผู้ที่เดินทางบ่อย. ค่ายมือถือหลักในไทยอย่าง AIS, TrueMove H และ dtac ต่างรองรับบริการ eSIM ทั้งในระบบรายเดือนและเติมเงิน เพื่อให้ลูกค้าสามารถเปิดใช้เบอร์ใหม่หรือเปลี่ยนซิมเก่าเป็น eSIM ได้ตามต้องการ. บทความนี้จะอธิบาย eSIM คืออะไร, วิธีการทำงาน, ข้อดี-ข้อเสียของ eSIM, การใช้งาน eSIM กับเครือข่าย AIS/True/dtac, ความเข้ากันได้กับอุปกรณ์ต่างๆ (เช่น iPhone, Samsung, Huawei เป็นต้น) รวมถึงการใช้งาน eSIM สำหรับการท่องเที่ยวต่างประเทศ. นอกจากนี้ยังมีการแสดงความคิดเห็นและประสบการณ์จริงจากผู้ใช้ (เช่นจาก Pantip) และส่วนคำถามที่พบบ่อย (FAQ) เพื่อให้ผู้อ่านได้รับข้อมูลครบถ้วนที่สุด
eSIM คืออะไร? ทำงานอย่างไร?
eSIM คือซิมการ์ดรูปแบบใหม่แบบดิจิทัล (หรือที่บางคนเรียกว่า “ซิมeSIM”) ที่ถูกฝังอยู่ภายในอุปกรณ์สื่อสาร โดยไม่ได้อยู่ในรูปของการ์ดพลาสติกเหมือนนาโนซิมที่ใช้กันปัจจุบัน. ตัวชิป eSIM มีขนาดเล็กมาก (ประมาณ 5×5 มม.) ติดตั้งบนเมนบอร์ดของโทรศัพท์หรืออุปกรณ์ตั้งแต่ขั้นตอนการผลิตโรงงาน ทำให้ไม่สามารถถอดออกมาได้เหมือนซิมการ์ดทั่วไป แต่สามารถเขียนข้อมูลลงไปใหม่ได้หลายครั้ง. ข้อมูลที่เขียนลงบน eSIM คือ โปรไฟล์ซิม ซึ่งประกอบด้วยหมายเลขโทรศัพท์และการตั้งค่าของเครือข่ายมือถือแต่ละค่าย
หลักการทำงานของ eSIM จะคล้ายกับซิมการ์ดปกติ เพียงแต่การเปลี่ยนหรือเพิ่มหมายเลขจะทำผ่านซอฟต์แวร์แทนการเปลี่ยนการ์ด. เมื่อเราต้องการเปิดใช้เบอร์ eSIM ใหม่ (ไม่ว่าจะเป็นเบอร์ใหม่หรือย้ายจากซิมเก่า), ผู้ให้บริการเครือข่ายจะออก QR Code หรือลิงก์พิเศษสำหรับโหลดโปรไฟล์ eSIM. ผู้ใช้เพียงเปิดการตั้งค่าบนโทรศัพท์ (เช่น เมนู *การตั้งค่า > เซลลูลาร์ > เพิ่มแผนบริการเซลลูลาร์* ใน iPhone) แล้วสแกน QR Code ดังกล่าว อุปกรณ์จะทำการดาวน์โหลดโปรไฟล์ eSIM ของเบอร์นั้นลงบนชิปที่ฝังอยู่และตั้งค่าให้อัตโนมัติ. หลังจากติดตั้งเสร็จ โทรศัพท์ก็พร้อมใช้งานเบอร์ใหม่นั้นทันที เหมือนกับใส่ซิมใหม่เรียบร้อย โดยที่เราไม่ต้องไปศูนย์บริการหรือต้องรอรับซิมทางไปรษณีย์เลย
ระบบ eSIM สามารถเก็บหลายโปรไฟล์บนอุปกรณ์หนึ่งเครื่องได้ (จำนวนสูงสุดขึ้นอยู่กับรุ่นอุปกรณ์ เช่น iPhone เก็บได้ ~8 โปรไฟล์) แต่ในการใช้งานจริงจะเปิดใช้ได้ทีละไม่กี่โปรไฟล์ตามที่อุปกรณ์รองรับ (เช่น iPhone ส่วนใหญ่ใช้ได้พร้อมกัน 2 เบอร์). ตัวอย่างเช่น คุณสามารถมีทั้งเบอร์ส่วนตัวและเบอร์งานอยู่ในเครื่องเดียวกัน หรือเมื่อเดินทางไปต่างประเทศก็เพิ่มโปรไฟล์ซิมของเครือข่ายท้องถิ่นเข้าไป โดยสลับใช้งานระหว่างโปรไฟล์ต่าง ๆ ผ่านเมนูตั้งค่าของโทรศัพท์ได้ง่ายๆ ไม่ต้องถอดเปลี่ยนการ์ดซิมให้ยุ่งยากอีกต่อไป
ข้อดีของ eSIM
เทคโนโลยี eSIM มีข้อดีหลายประการเมื่อเทียบกับซิมการ์ดแบบเดิม (นาโนซิม) ดังนี้:
- ไม่ต้องใช้การ์ดซิมให้ยุ่งยาก: eSIM เป็นซิมดิจิทัลที่อยู่ในเครื่องเลย ทำให้หมดปัญหาต้องคอยถอด-ใส่ซิมการ์ดเวลาจะเปลี่ยนเบอร์หรือเปลี่ยนค่าย. ผู้ใช้ไม่ต้องพกหรือเก็บแผ่นซิมการ์ดเล็กๆ อีกต่อไป
- ไม่ต้องกลัวซิมหายหรือเสียหาย: เนื่องจาก eSIM เป็นชิปฝังในเครื่อง โอกาสที่ซิมจะหลุดหายหรือชำรุดจากการถอดบ่อยๆ นั้นแทบไม่มีเลย. ผู้ใช้หลายคนชอบที่ “ซิมไม่มีทางเสีย ซิมไม่มีทางหาย”เพราะทุกอย่างอยู่ในอุปกรณ์ตลอด
- รองรับหลายเบอร์ในเครื่องเดียว: โทรศัพท์ที่รองรับ eSIM ส่วนใหญ่สามารถเก็บโปรไฟล์ซิมได้หลายหมายเลข เช่น รองรับได้สูงสุดถึง 5-8 เลขหมายต่อเครื่อง (ขึ้นกับรุ่น) ซึ่งมากกว่าการมีช่องใส่ซิมการ์ดจริงที่มักจำกัดแค่ 2 ช่อง. แม้การใช้งานพร้อมกันจะเปิดได้ครั้งละ 1-2 เบอร์พร้อมกัน แต่การสลับไปมาระหว่างหลายเบอร์ก็ทำได้ง่ายผ่านการตั้งค่า
- สลับเครือข่าย/แพ็กเกจได้สะดวก: ด้วย eSIM เราสามารถเปลี่ยนไปใช้บริการอีกเครือข่ายหนึ่งหรือสมัครแพ็กเกจเสริมของอีกค่ายได้อย่างรวดเร็ว โดยไม่ต้องรอเปลี่ยนซิมการ์ด. เช่น เมื่อเดินทางไปต่างประเทศก็เพียงเพิ่ม eSIM ของผู้ให้บริการในประเทศนั้นๆ ลงในเครื่อง โดยไม่ต้องถอดซิมหลักออก
- ซื้อซิมใหม่และเปิดใช้บริการได้ทันที: eSIM ช่วยให้การเปิดเบอร์ใหม่รวดเร็วยิ่งขึ้น. บางค่ายอย่าง TrueMove H ระบุว่าสามารถ ซื้อ eSIM ออนไลน์แล้วได้ซิมพร้อมใช้ทันที จากนั้นติดตั้งลงเครื่องได้เองเลย ลดขั้นตอนการไปรับซิมที่ศูนย์บริการหรือรอจัดส่ง
- รองรับอุปกรณ์ขนาดเล็กและอุปกรณ์ไฮเทค: eSIM เหมาะกับอุปกรณ์ที่มีพื้นที่จำกัดหรืออุปกรณ์สวมใส่ เช่น สมาร์ทวอทช์ที่รองรับ 4G (เช่น Apple Watch Cellular, Samsung Galaxy Watch รุ่น LTE) ซึ่งไม่มีที่ใส่การ์ดซิมแบบดั้งเดิม. eSIM ทำให้อุปกรณ์เหล่านี้เชื่อมต่อเครือข่ายมือถือได้อย่างอิสระ
- ปลอดภัยมากขึ้น: eSIM มีความปลอดภัยสูงกว่าซิมการ์ดทั่วไปในบางด้าน. ตัวซิมไม่สามารถถูกดึงออกไปใช้ในเครื่องอื่นโดยไม่ได้รับอนุญาต ทำให้กรณีโทรศัพท์ถูกขโมย โจรไม่สามารถถอดซิมออก ไปใส่เครื่องตนเองได้ง่ายๆ (ตราบใดที่เครื่องยังล็อกอยู่). ข้อมูลบน eSIM ก็ยากจะถูกก็อปปี้กว่าเพราะต้องได้รับการยืนยันจากเครือข่ายก่อนจะย้ายโปรไฟล์ได้
- รองรับทุกระบบและทุกเครือข่าย: eSIM ในไทยสามารถใช้งานได้กับหมายเลขทั้งแบบรายเดือนและเติมเงินของทุกเครือข่ายมือถือหลัก ดังนั้นไม่ว่าคุณจะใช้แพ็กเกจแบบใดก็สามารถเปลี่ยนมาใช้ eSIM ได้ และมือถือสมัยใหม่ส่วนใหญ่รองรับทั้งระบบ iOS และ Android
ด้วยข้อดีเหล่านี้ หลายคนจึงเริ่มหันมาใช้ eSIM เพื่อความสะดวกและคล่องตัวในการใช้งานโทรศัพท์มากขึ้น. ผู้ใช้รายหนึ่งได้สรุปในเว็บบอร์ด Pantip ว่า “ข้อดีก็คือ ไม่ต้องใช้ซิมแบบแผ่นๆ ซิมไม่มีทางเสีย ซิมไม่มีทางหาย กรณีเครื่องหายต้องการใช้เบอร์ทันที ก็หาเครื่องใหม่ที่รองรับ eSIM มาสแกน QR (จากค่ายมือถือ) ก็ใช้เบอร์ได้เลย” ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงประสบการณ์เชิงบวกในการใช้ eSIM จริง
ข้อเสียและข้อควรระวังของ eSIM
แม้ eSIM จะมีข้อดีหลายอย่าง แต่ก็มีข้อจำกัดหรือข้อควรระวังที่ผู้ใช้ควรทราบดังนี้:
- การย้ายซิม/เปลี่ยนอุปกรณ์ยุ่งยากกว่า: หากโทรศัพท์เครื่องที่ใช้งาน eSIM เกิดสูญหายหรือเสียกะทันหัน การนำเบอร์ไปใช้ต่อบนอุปกรณ์เครื่องอื่นจะไม่สะดวกเท่าซิมการ์ดทั่วไป เพราะคุณไม่สามารถดึงชิป eSIM ออกมาใส่เครื่องใหม่ได้ทันที. จำเป็นต้องติดต่อผู้ให้บริการเครือข่ายเพื่อขอออกโปรไฟล์ eSIM ใหม่ในเครื่องใหม่ หรือมีขั้นตอนการโอนย้ายผ่านระบบของค่ายมือถือ. ผู้ใช้ Pantip หลายคนชี้ว่า “ข้อเสียคือมันย้ายไปเครื่องใหม่ไม่ง่าย” และมีความยุ่งยากกว่าแบบซิมปกติอย่างชัดเจน
- ต้องใช้กับอุปกรณ์รุ่นใหม่ที่รองรับ eSIM: ข้อจำกัดหนึ่งคือ มือถือรุ่นเก่าไม่รองรับ eSIM หากต้องการใช้ก็อาจต้องเปลี่ยนโทรศัพท์เป็นรุ่นใหม่ที่มีชิป eSIM. ดังนั้นสำหรับผู้ใช้ที่เครื่องยังไม่รองรับ อาจยังไม่จำเป็นต้องรีบเปลี่ยนมาใช้ eSIM จนกว่าจะอัปเกรดอุปกรณ์
- ขั้นตอนการตั้งค่าอาจซับซ้อนสำหรับบางคน: การเปิดใช้งาน eSIM ครั้งแรกต้องเรียนรู้ขั้นตอนการสแกน QR Code และตั้งค่าผ่านเมนูโทรศัพท์ ซึ่งอาจดูซับซ้อนสำหรับผู้ใช้ทั่วไปที่ไม่ชำนาญเทคโนโลยี. อย่างไรก็ตาม กระบวนการนี้ทำเพียงครั้งเดียวและค่อนข้างรวดเร็ว แต่ก็ยังมีบางคนที่รู้สึกว่า “ความยุ่งยากของการตั้งค่าในตอนแรก” เป็นจุดที่ต้องสังเกต
- บางบริการอาจยังไม่รองรับ eSIM: ในระยะเริ่มต้น มีรายงานว่าบริการบางประเภทหรือโปรโมชั่นบางรูปแบบ (เช่น แพ็กเกจที่ผูกหลายเบอร์บนซิมเดียว) อาจยังไม่รองรับ eSIMหรือการตั้งค่าบางอย่างต้องการซิมการ์ดจริง. อย่างไรก็ตาม ค่ายมือถือในไทยได้พัฒนาให้ eSIM รองรับบริการเกือบทุกอย่างเทียบเท่าซิมปกติแล้วในปัจจุบัน
- การใช้งานพร้อมกันจำกัดตามอุปกรณ์: แม้เครื่องหนึ่งจะเก็บหลายโปรไฟล์ได้ แต่ส่วนใหญ่จะจำกัดการเปิดใช้งานพร้อมกันสูงสุด 2 เบอร์ (Dual SIM). ดังนั้นหากคุณต้องการใช้มากกว่า 2 เบอร์พร้อมกันในเวลาเดียวกัน อาจยังทำไม่ได้ (เหมือนกับข้อจำกัดของโทรศัพท์ 2 ซิมทั่วไป)
- ข้อควรระวังเมื่อเดินทาง: หากคุณใช้โทรศัพท์รุ่นที่เป็น eSIM ล้วน (เช่น iPhone 14 รุ่นสหรัฐฯ ที่ไม่มีถาดซิม) การใช้งานในบางประเทศหรือกับผู้ให้บริการบางรายที่ยังไม่รองรับ eSIM อาจมีปัญหา. ควรตรวจสอบล่วงหน้าว่าเครือข่ายปลายทางรองรับ eSIM หรือไม่. อย่างไรก็ดี เครือข่ายส่วนใหญ่ทั่วโลกเริ่มรองรับ eSIM มากขึ้นเรื่อยๆ
- ความเคยชินและความมั่นใจ: ผู้ใช้บางคนยังรู้สึกไม่มั่นใจที่จะไม่มี “ชิปซิม” จับต้องได้ หลายคนจึงลังเลที่จะเปลี่ยนมาใช้ eSIM ทันที. มีผู้ใช้งานบางท่านแบ่งปันว่า eSIM จะเหมาะกับคนที่ใช้มือถือนานๆ ไม่เปลี่ยนเครื่องบ่อย เพราะถ้าเปลี่ยนบ่อยความยุ่งยากอาจทำให้เขายังคงเลือกใช้ซิมการ์ดแบบเดิมมากกว่า
อย่างไรก็ตาม หลายท่านที่ได้ลองเปลี่ยนมาใช้ eSIM ก็พบว่าการใช้งานจริงไม่มีปัญหาใดๆ “ปกติดีทุกอย่าง” เช่นคำบอกเล่าของผู้ใช้ Pantip รายหนึ่งที่ใช้ eSIM เป็นซิมหลักประจำวัน. ดังนั้นข้อจำกัดหลายอย่างของ eSIM อาจไม่ส่งผลกระทบกับผู้ใช้ทั่วไปมากนัก ขึ้นอยู่กับลักษณะการใช้งานของแต่ละคน
เปรียบเทียบ eSIM กับซิมการ์ดปกติ (นาโนซิม)
ตารางด้านล่างสรุปความแตกต่างระหว่าง eSIM กับ ซิมการ์ดแบบนาโน (ซิมปกติ) เพื่อให้เห็นภาพชัดเจน:
หัวข้อเปรียบเทียบ | 🌐 eSIM (ซิมดิจิทัลฝังในเครื่อง) | 💳 ซิมการ์ดทั่วไป (Nano-SIM) |
---|---|---|
รูปแบบซิม | ชิปซิมฝังในอุปกรณ์ตั้งแต่ผลิต ไม่มีการ์ดหรือถาดซิมภายนอก | การ์ดซิมพลาสติกขนาดเล็ก (นาโนซิม) ต้องใส่ในถาดซิมของอุปกรณ์ |
การติดตั้งใช้งาน | เปิดใช้โดยการสแกน QR Code/ดาวน์โหลดโปรไฟล์จากเครือข่าย ติดตั้งผ่านซอฟต์แวร์ | ติดตั้งโดยใส่การ์ดซิมลงในถาดซิมของโทรศัพท์ ต้องใช้เข็มจิ้มถาดเพื่อเปลี่ยนซิม |
การเปลี่ยนหมายเลข/เครือข่าย | เปลี่ยนหรือเพิ่มเบอร์ผ่านการตั้งค่า ซอฟต์แวร์สามารถสลับโปรไฟล์ซิมได้ทันที ไม่ต้องถอดอะไร | ต้องเปลี่ยนการ์ดซิมทางกายภาพ หากต้องการเปลี่ยนเบอร์หรือค่าย ต้องถอดซิมเก่าออกแล้วใส่ซิมใหม่ |
จำนวนเบอร์ที่รองรับในเครื่อง | เก็บได้หลายโปรไฟล์ (5-8 โปรไฟล์ต่อเครื่องทั่วไป) แต่เปิดใช้งานพร้อมกันได้ตามที่อุปกรณ์รองรับ (มัก 2 เบอร์พร้อมกัน) | ขึ้นอยู่กับจำนวนช่องซิมของเครื่อง (ปกติ 1 หรือ 2 ช่องซิม) ไม่สามารถมีมากกว่าช่องที่ให้มา |
ความสะดวกเวลาเปลี่ยนอุปกรณ์ | ต้องติดต่อค่ายมือถือหรือใช้ขั้นตอนโอนโปรไฟล์ eSIM ไปเครื่องใหม่ ซึ่งอาจใช้เวลาและขั้นตอนหลายขั้น | สะดวกมาก – เพียงนำการ์ดซิมออกจากเครื่องเดิมแล้วใส่ในเครื่องใหม่ ก็ใช้งานเบอร์เดิมได้ทันที |
ความเสี่ยงซิมหาย/เสีย | ซิมอยู่ในเครื่องตลอด ไม่มีการ์ดให้หล่นหายหรือหักพัง. แต่ถ้าเครื่องหาย ซิมก็หายไปกับเครื่อง (ต้องระงับเบอร์ผ่านค่าย) | การ์ดซิมขนาดเล็ก มีโอกาสหล่นหาย สูญหาย หรือชำรุดได้หากถอดเข้าออกบ่อยๆ หรือเก็บรักษาไม่ดี |
อุปกรณ์ที่รองรับ | ต้องใช้กับอุปกรณ์ที่มีชิป eSIM (รุ่นใหม่ๆ เท่านั้น). ไม่มีในมือถือรุ่นเก่าๆ ที่ผลิตก่อนปี 2018-2019 | ใช้งานได้กับมือถือแทบทุกรุ่นในท้องตลาด (เพียงมีช่องใส่นาโนซิม) รวมถึงอุปกรณ์รุ่นเก่า |
การรองรับอุปกรณ์เสริม | สามารถใช้งานในอุปกรณ์สวมใส่และแก็ดเจ็ตใหม่ๆ ที่ฝังชิป eSIM (เช่น สมาร์ทวอทช์, แท็บเล็ตบางรุ่น, แล็ปท็อปบางรุ่นที่มี eSIM) | ไม่สามารถใช้ในสมาร์ทวอทช์หรือแก็ดเจ็ตขนาดเล็กได้ เพราะไม่มีที่ให้ใส่การ์ดซิม |
ความปลอดภัย | ซิมไม่ถูกถอดสลับโดยบุคคลอื่นง่ายๆ ต้องได้รับอนุญาตจากเครือข่าย. ลดโอกาสโจรขโมยซิมไปใช้ต่อ | หากอุปกรณ์ถูกขโมย คนร้ายอาจถอดซิมการ์ดออกไปใส่อุปกรณ์อื่นเพื่อนำเบอร์ไปใช้หรือดึงข้อมูลได้ทันที หากไม่ล็อก SIM Lock |
โดยสรุป eSIM ช่วยเพิ่มความสะดวกและความยืดหยุ่นในการใช้โทรศัพท์ แต่ซิมการ์ดแบบเดิมก็ยังมีความง่ายในการสลับเครื่องที่ eSIM ต้องแลกมาด้วยขั้นตอนเพิ่มเติม. ผู้ใช้ควรเลือกใช้ตามความเหมาะสมกับการใช้งานของตนเอง
การใช้งาน eSIM กับเครือข่ายมือถือในไทย (AIS, True, dtac)
ผู้ให้บริการมือถือหลักทั้งสามรายในประเทศไทย (AIS, TrueMove H และ dtac) รองรับบริการ eSIM ทั้งสำหรับการเปิดเบอร์ใหม่และการเปลี่ยนซิมการ์ดเดิมมาเป็น eSIM. แต่ละค่ายมีขั้นตอนและเงื่อนไขที่คล้ายกัน ดังนี้:
AIS eSIM
AIS ให้บริการ eSIM สำหรับลูกค้ารายเดือน, เติมเงิน และซิมท่องเที่ยว SIM2Fly โดยลูกค้าสามารถขอเปิดใช้ eSIM ได้หลายช่องทาง:
- เปิดเบอร์ใหม่เป็น eSIM: สามารถทำรายการผ่านเว็บไซต์หรือแอป myAIS ได้ โดยเลือกซื้อซิมแบบ eSIM. เมื่อชำระเงินและยืนยันตัวตนแล้ว ระบบจะออก QR Code สำหรับ eSIM ให้ทันที ลูกค้าสแกนโค้ดเพื่อติดตั้ง eSIM ลงในเครื่องได้เลยจากที่บ้าน(ไม่ต้องไปรับซิมการ์ดที่ศูนย์บริการ)
- เปลี่ยนซิมการ์ดเดิม (เบอร์เดิม) เป็น eSIM: หากมีซิมการ์ด AIS เดิมและต้องการย้ายข้อมูลไป eSIM สามารถดำเนินการได้ที่ศูนย์บริการ AIS ทุกสาขา. เจ้าหน้าที่จะช่วยออก QR Code eSIM สำหรับเบอร์ของคุณ แล้วสแกนลงเครื่องใหม่. นอกจากนี้ สำหรับ iPhone ที่รองรับการ “แปลงเป็น eSIM” (Convert to eSIM) ผู้ใช้บางท่านพบว่าสามารถทำได้เองที่บ้าน โดยต้องเปิดใช้งานบริการ VoLTE/*VoWiFi* ก่อน (กด *412*1# และ *399*1#) จากนั้นตัวเลือก “เปลี่ยนเป็น eSIM” จะปรากฏในเมนูการตั้งค่าของ iPhone เพื่อโอนย้ายเบอร์ไป eSIM ได้ทันที
- บริการเสริมอื่นๆ: AIS มีบริการ Multi SIM Plus ที่ให้คุณใช้หมายเลขเดียวกันบนหลายอุปกรณ์ (เช่น มีทั้งซิมการ์ดในมือถือหลัก และ eSIM ใน Apple Watch หรือแท็บเล็ต) โดยจ่ายเป็นแพ็กเกจเสริมรายเดือน. บริการนี้ทำให้ Apple Watch (GPS + Cellular) สามารถใช้งานเบอร์เดียวกับ iPhone ของคุณผ่าน eSIM ได้อย่างราบรื่น
ในการติดตั้ง eSIM ของ AIS เครื่องจะต้องเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตระหว่างดาวน์โหลดโปรไฟล์ (ผ่าน Wi-Fi หรือซิมการ์ดอีกเบอร์). หลังติดตั้งแล้ว สามารถใช้งานได้ทันทีไม่ต่างจากซิมปกติ ทั้งการโทรออก/รับสาย ใช้เน็ต 4G/5G หรือรับ-ส่ง SMS ตามแพ็กเกจที่สมัครไว้
TrueMove H eSIM
TrueMove H (ทรู) เป็นอีกค่ายที่รองรับ eSIM อย่างครบวงจร. ผู้ใช้สามารถ:
- ซื้อซิมใหม่เป็น eSIM: ทำได้ผ่านช่องทางออนไลน์ของ True เช่น เว็บไซต์ True Online Store หรือแอป True iService. เมื่อสั่งซื้อซิมแบบ eSIM ทางระบบทรูจะจัดส่ง QR Code สำหรับเปิดใช้งานมาให้ (อาจผ่านอีเมลหรือหน้าเว็บคำสั่งซื้อ) จากนั้นนำไปสแกนในมือถือก็จะเปิดเบอร์ใหม่ได้เลย. True โฆษณาว่าการซื้อ eSIM ออนไลน์นั้น “ได้ซิมเลยทันที และติดตั้งลงเครื่องได้ด้วยตัวเอง” สะดวกมาก
- เปลี่ยนซิมเดิมเป็น eSIM: ลูกค้าทรูสามารถเปลี่ยนเบอร์ปัจจุบันจากซิมการ์ดเป็น eSIM ได้ที่ทรูช็อปทุกสาขา. เพียงนำบัตรประชาชนและซิมเดิมไปติดต่อ เจ้าหน้าที่จะดำเนินการออก eSIM ให้ฟรี. ในบางกรณี True อนุญาตให้เปลี่ยนผ่านแอป True iService ได้ด้วย โดยจะมีเมนูให้กดขอเปลี่ยนเป็น eSIM และรับ QR Code ผ่านแอป
- บริการ eSIM บนอุปกรณ์อื่น: TrueMove H รองรับ eSIM สำหรับสมาร์ทวอทช์ (เช่น Apple Watch ผ่านบริการ NumberShare ของทรู) และแท็บเล็ตที่มีเซลลูลาร์. นอกจากนี้ ทรูยังมีแพ็กเกจ Travel SIM ในรูปแบบ eSIM สำหรับนักท่องเที่ยวที่มาไทย และ eSIM โรมมิ่งสำหรับลูกค้าทรูที่เดินทางไปต่างประเทศด้วย
ทรูเคยเผยข้อมูลว่า eSIM หนึ่งเครื่องสามารถรองรับได้สูงสุด 6 หมายเลข ไม่ว่าจะเครือข่ายใด แบบเติมเงินหรือรายเดือน และสลับใช้ทีละหมายเลขได้ ซึ่งเป็นจุดเด่นที่ช่วยให้ผู้ใช้ไม่ต้องพกหลายเครื่อง. eSIM ของ True ใช้งานได้ทั้งบนอุปกรณ์ iOS และ Android ที่รองรับ โดยเปิดใช้ได้กับเครือข่าย 5G ของ True เช่นเดียวกับซิมปกติ
dtac eSIM
dtac (ดีแทค) ให้บริการ eSIM เช่นกัน โดยมีรายละเอียดการใช้งานดังนี้:
- เปิดเบอร์ใหม่ด้วย eSIM: ผู้ใช้สามารถเปิดเบอร์ใหม่เป็น eSIM ได้ที่ศูนย์บริการ dtac (dtac Hall) หรือผ่านช่องทางออนไลน์ของ dtac. เมื่อสมัครแพ็กเกจและยืนยันตัวตนเรียบร้อย ดีแทคจะให้ QR Code สำหรับสแกนเพื่อติดตั้ง eSIM ของเบอร์นั้นๆ ลงในเครื่อง. หลังติดตั้งแล้วก็ใช้งานได้ทันที
- เปลี่ยนจากซิมการ์ดเป็น eSIM: ปัจจุบันการเปลี่ยนเบอร์เดิมของดีแทคมาเป็น eSIM ต้องทำที่ศูนย์บริการเท่านั้น (นำซิมการ์ดใบเดิมและบัตรประชาชนไปที่สาขา). ไม่มีค่าธรรมเนียมในการเปลี่ยนซิม – ผู้ให้บริการยืนยันว่า “ดำเนินการได้ฟรีที่ศูนย์บริการ dtac ทุกสาขา”. เจ้าหน้าที่จะออก QR Code eSIM ให้และช่วยสแกนลงเครื่องใหม่ให้ลูกค้า
- บริการเสริม: หลังการรวมกิจการระหว่างทรูและดีแทค บริการ eSIM ของ dtac มีแนวโน้มจะใช้ร่วมกับแพลตฟอร์มของทรูมากขึ้น. dtac มีซิมท่องเที่ยวต่างประเทศแบบ eSIM (ชื่อ E-Go Travel SIM) ที่ให้ลูกค้าเปิดใช้แพ็กเกจโรมมิ่งแบบ eSIM ได้เลยก่อนบิน (เช่น แพ็กเกจเน็ต 6GB 15 วัน) เพื่อความสะดวกในการใช้งานต่างประเทศ
dtac เคยประชาสัมพันธ์ว่าโทรศัพท์ 1 เครื่องสามารถใส่ eSIM ได้สูงสุด 5 หมายเลข (ในช่วงแรกเริ่มให้บริการ) แต่ข้อมูลล่าสุดระบุว่าสามารถรองรับได้ถึง 6 เบอร์เช่นเดียวกับค่ายอื่นๆ. การใช้งาน eSIM ของดีแทคไม่ต่างจากซิมปกติ สามารถใช้โทร, เล่นอินเทอร์เน็ต 4G/5G และบริการเสริมต่างๆ ได้ตามแพ็กเกจปกติ เพียงแต่ช่องทางการรับบริการและเปลี่ยนซิมจะผ่าน QR Code แทนการใช้การ์ด
อุปกรณ์ที่รองรับ eSIM
สมาร์ทโฟนและอุปกรณ์หลายรุ่นในปัจจุบันรองรับ eSIM โดยสามารถแบ่งตามยี่ห้อหลักๆ ได้ดังนี้:
- Apple: Apple เป็นผู้ผลิตแรกๆ ที่รองรับ eSIM ในสมาร์ทโฟน. iPhone รุ่นที่รองรับ eSIM ได้แก่ iPhone XR, XS, XS Max ขึ้นไปทุกรุ่น (รวมถึง iPhone 11, 12, 13, 14, 15 และรุ่นต่อๆ มา รวมถึง iPhone SE รุ่นที่ 2 ขึ้นไป). โดย iPhone รองรับการใช้ซิมคู่แบบ eSIM + ซิมการ์ด หรือ eSIM 2 เบอร์พร้อมกัน (ในรุ่น iPhone 13 ขึ้นไปสามารถเปิดใช้งาน eSIM 2 เบอร์พร้อมกันได้เลย). นอกจากนี้ iPad รุ่นเซลลูลาร์หลายรุ่นก็มี eSIM เช่น iPad Pro ทุกรุ่นตั้งแต่ปี 2018, iPad Air รุ่นที่มี 5G, iPad (รุ่นที่ 7 ขึ้นไป) ที่เป็น Cellular. Apple Watch รุ่น GPS + Cellular ทุกรุ่น (Series 3 ขึ้นไป) ก็ใช้ eSIM ในการเชื่อมต่อเครือข่ายมือถือ โดยต้องจับคู่กับ iPhone และสมัครบริการเสริมกับเครือข่าย (เช่น AIS NumberShare, True NumberShare) จึงจะใช้งานได้
- Samsung: สมาร์ทโฟนเรือธงของซัมซุงรุ่นหลังๆ รองรับ eSIM แทบทั้งหมด เช่น Galaxy S20, S21, S22, S23, S24 และรุ่น Plus/Ultra ในตระกูลเดียวกัน, Galaxy Note 20 Series, รวมถึง Galaxy Z Flip และ Galaxy Z Fold ทุกรุ่นที่มี 5G. รุ่นระดับกลางบางรุ่นก็เริ่มรองรับ eSIM เช่น Galaxy A54 5G, A23 5G เป็นต้น. สำหรับอุปกรณ์สวมใส่ Samsung Galaxy Watch รุ่นที่มี LTE (เช่น Galaxy Watch Active2 LTE, Watch3/4/5 LTE เป็นต้น) ก็ใช้ eSIM ในการเชื่อมต่อเครือข่ายมือถือได้
- Huawei: Huawei มีสมาร์ทโฟนที่รองรับ eSIM เช่น Huawei P40 และ P40 Pro, Mate 40 Pro, และมือถือจอพับบางรุ่นอย่าง Mate Xs. อย่างไรก็ตาม รุ่นใหม่กว่านี้ของ Huawei หลังปี 2020 อาจไม่มีบริการ Google และไม่ได้เน้นตลาดไทยมากนัก ทำให้การใช้งาน eSIM กับ Huawei ในไทยไม่แพร่หลายเท่ากับ Apple หรือ Samsung
- Google & อื่นๆ: Google Pixel สมาร์ทโฟนของกูเกิลทุกรุ่นตั้งแต่ Pixel 2 เป็นต้นมา รองรับ eSIM (แม้ Pixel จะไม่ได้วางขายทางการในไทย, มีผู้นำเข้ามาใช้บ้าง). Motorola Razr (มือถือจอพับ) และสมาร์ทโฟน Android รุ่นเรือธงจากผู้ผลิตอื่นๆ บางรุ่นก็เริ่มใส่ eSIM มา เช่น Microsoft Surface Duo, OPPO Find X3 Pro (เฉพาะบางประเทศ) เป็นต้น. นอกจากนี้ โน้ตบุ๊ก/แท็บเล็ต Windows บางรุ่นที่รองรับ 4G/5G ก็มี eSIM ในตัว เช่น Microsoft Surface Pro X, Lenovo ThinkPad รุ่นที่มีช่องใส่ซิม เป็นต้น
ในการใช้งาน eSIM บนอุปกรณ์เหล่านี้ ต้องแน่ใจว่าเครื่องของคุณเป็นเครื่องไม่ล็อกเครือข่าย (Unlocked) และรันระบบปฏิบัติการเวอร์ชันที่รองรับ eSIM. เช่น iPhone ต้องใช้ iOS 12.1 ขึ้นไปสำหรับรุ่น XR/XS และ iOS เวอร์ชันล่าสุดสำหรับรุ่นใหม่ๆ, ส่วน Android ควรเป็น Android 10 ขึ้นไปในเครื่องที่ฮาร์ดแวร์รองรับ. หากไม่แน่ใจว่ามือถือของคุณรองรับ eSIM หรือไม่ สามารถเข้าไปที่การตั้งค่าของเครื่องและหาเมนู “เพิ่ม eSIM” หรือดูสเปครุ่นจากเว็บไซต์ผู้ผลิตประกอบได้
การใช้งาน eSIM สำหรับการท่องเที่ยว (Travel eSIM)
หนึ่งในกรณีการใช้งานที่ได้รับประโยชน์มากจาก eSIM คือ การใช้งานขณะเดินทางไปต่างประเทศ. แต่ก่อนเวลาเราไปเที่ยวต่างประเทศ เราอาจต้องซื้อซิมโรมมิ่งหรือซิมท้องถิ่นที่จุดหมายปลายทาง ซึ่งต้องคอยสลับซิมการ์ดในเครื่อง. แต่ด้วย eSIM ทำให้:
- คุณสามารถ เตรียมซิมสำหรับต่างประเทศล่วงหน้า ได้ตั้งแต่อยู่ไทย. เช่น ซื้อแพ็กเกจอินเทอร์เน็ตโรมมิ่งของค่ายเดิมในรูปแบบ eSIM หรือซื้อ eSIM ของเครือข่ายต่างประเทศผ่านผู้ให้บริการออนไลน์. จากนั้นสแกนติดตั้งโปรไฟล์ eSIM ของประเทศที่จะไปไว้ในเครื่องก่อนเดินทาง. พอถึงที่หมายก็เปิดใช้งานโปรไฟล์นั้นได้เลยทันที ไม่ต้องไปหาซื้อซิมที่สนามบิน
- หลายค่ายในไทยมีบริการ eSIM สำหรับนักท่องเที่ยว: เช่น AIS SIM2Fly eSIM ที่ให้แพ็กเกจเน็ตโรมมิ่งราคาประหยัดสำหรับหลายประเทศ, TrueMove H Travel SIM eSIM สำหรับนักท่องเที่ยวต่างชาติที่มาไทยหรือคนไทยไปต่างประเทศ, และ dtac E-Go Travel eSIM ซึ่งมีแพ็กเกจอินเทอร์เน็ตโรมมิ่งแบบ eSIM พร้อมใช้ (เช่น 6GB 15วัน ในราคากำหนด)
- นอกจากนี้ยังมีผู้ให้บริการ eSIM ระหว่างประเทศ (Third-party) ที่คุณสามารถซื้อแพ็กเกจเน็ตต่างประเทศได้สะดวก เช่น Airalo, Nomad, eSIM Vacay เป็นต้น. ตัวอย่างเช่น eSIM Vacay เป็นบริการที่รวบรวมแพ็กเกจ eSIM ทั่วโลกให้ซื้อผ่านออนไลน์ และชูจุดเด่นว่า “ไม่ต้องถอดซิมเดิม” เมื่อใช้งาน eSIM ของพวกเขา. ผู้ใช้สามารถเลือกประเทศหรือภูมิภาคที่ต้องการ, ซื้อแพ็กเกจผ่านแอป/เว็บ แล้วจะได้รับ QR Code สำหรับติดตั้ง eSIM ของเครือข่ายพันธมิตรในประเทศนั้นๆ ลงในเครื่อง
ข้อดีสำหรับนักท่องเที่ยว: คุณไม่พลาดการติดต่อสื่อสารตั้งแต่ก้าวแรกที่ถึงต่างประเทศ เพราะเตรียมทุกอย่างล่วงหน้าแล้ว. นอกจากนี้ eSIM ยังช่วยหลีกเลี่ยงค่าบริการโรมมิ่งราคาแพงของซิมหลัก เพราะคุณสามารถเลือกแพ็กเกจข้อมูลของผู้ให้บริการท้องถิ่นผ่าน eSIM ได้เลย. ในกรณีที่ต้องใช้ทั้งเบอร์ไทยและเบอร์ต่างประเทศพร้อมกัน (เช่น รอรับ OTP จากธนาคารไทย) คุณก็สามารถเปิดซิมคู่ (Dual SIM) โดยใช้ eSIM ควบคู่กับซิมการ์ดปกติได้ (ถ้าอุปกรณ์รองรับ) ทำให้เครื่องเดียวมีทั้งสัญญาณของไทยและของประเทศที่ไปพร้อมกัน
สิ่งที่ควรตรวจสอบ: ก่อนเดินทาง ควรเช็คว่าแพ็กเกจ eSIM ที่ซื้อใช้งานกับเครือข่ายใดในประเทศปลายทาง และครอบคลุมบริการที่ต้องการหรือไม่ (เช่น โทร, SMS, อินเทอร์เน็ต). บางแพ็กเกจเป็นข้อมูล (data) อย่างเดียว ใช้โทรออกไม่ได้. นอกจากนี้ ให้แน่ใจว่าเครื่องคุณปลดล็อกเครือข่ายและรองรับย่านความถี่ของประเทศนั้น. โดยทั่วไปหากเป็นเครื่องที่ซื้อจากไทยและรองรับ 4G/5G ในไทย ก็ใช้ต่างประเทศได้ครอบคลุมค่อนข้างมาก
ความคิดเห็นจากผู้ใช้จริงเกี่ยวกับ eSIM (จาก Pantip)
เพื่อให้เห็นมุมมองการใช้งาน eSIM ในชีวิตจริง นี่คือบางส่วนของความคิดเห็นจากผู้ใช้งานจริงบนเว็บบอร์ด Pantip:
ผู้ใช้รายหนึ่งกล่าวถึงข้อดีหลายอย่างของ eSIM ไว้ว่า: “ไม่ต้องใช้ซิมแบบแผ่นๆ ซิมไม่มีทางเสีย ซิมไม่มีทางหาย. กรณีเครื่องหายต้องการใช้เบอร์ทันที ก็หาเครื่องใหม่ที่รองรับ eSIM มาสแกน QR (จากค่ายมือถือ) ก็ใช้เบอร์ได้เลย”
อีกความเห็นหนึ่งแชร์ประสบการณ์การใช้ eSIM เป็นเบอร์หลักว่า: “ผมใช้ eSIM เป็นซิมหลัก… การใช้งานไม่มีปัญหาอะไรครับ ปกติดีทุกอย่าง” ซึ่งแสดงให้เห็นว่าหากตั้งค่าถูกต้อง eSIM ก็ใช้งานได้เสถียรไม่ต่างจากซิมปกติ
ขณะเดียวกัน มีผู้ใช้อีกท่านเตือนเรื่องข้อควรระวังว่า: “ข้อเสียก็มี เช่น ถ้าโทรศัพท์คุณเสีย… (ก็ต้องไปออก eSIM ใหม่)” กล่าวคือการย้ายเบอร์ eSIM ไปเครื่องอื่นเมื่อเกิดเหตุไม่คาดฝันยังคงยุ่งยากกว่าซิมการ์ดธรรมดาเล็กน้อย ซึ่งตรงกับข้อสังเกตเรื่องนี้ในบทความข้างต้น
โดยรวมแล้ว เสียงตอบรับจากผู้ใช้จริงต่อ eSIM ค่อนข้างเป็นบวกในแง่ความสะดวกและเทคโนโลยีที่ล้ำสมัย แต่อาจมีข้อกังวลเล็กน้อยเรื่องขั้นตอนกรณีฉุกเฉิน. อย่างไรก็ตาม หลายคนมองว่าข้อดีที่ได้รับนั้นคุ้มค่ากับการเปลี่ยนมาใช้ eSIM และปัญหาต่างๆ ก็สามารถบริหารจัดการได้ไม่ยาก
FAQ: คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ eSIM
eSIM คืออะไร?
eSIM (embedded SIM) คือซิมการ์ดแบบดิจิทัลที่ฝังอยู่ในอุปกรณ์ตั้งแต่ขั้นตอนการผลิต ทำหน้าที่เหมือนซิมการ์ดมือถือทั่วไป แต่ไม่มีการ์ดหรือชิปที่ต้องถอดเปลี่ยน. การเปิดใช้ eSIM ทำได้ด้วยการสแกน QR Code เพื่อดาวน์โหลดโปรไฟล์หมายเลขโทรศัพท์จากผู้ให้บริการเครือข่ายลงในเครื่อง
eSIM ทำงานอย่างไร?
เมื่อคุณขอเปิดเบอร์หรือเปลี่ยนมาใช้ eSIM ผู้ให้บริการจะออกข้อมูลโปรไฟล์ซิมในรูปแบบดิจิทัล (ผ่าน QR Code หรือลิงก์). คุณสแกนโค้ดนั้นบนมือถือที่รองรับ eSIM เครื่องจะดาวน์โหลดข้อมูลเบอร์ (หมายเลข, แพ็กเกจ ฯลฯ) ลงบนชิป eSIM ที่ฝังอยู่ จากนั้นมือถือก็จะใช้งานเบอร์นั้นได้เสมือนมีซิมการ์ดอยู่จริง. การเปลี่ยนสลับเบอร์หรือเครือข่ายทำได้ผ่านการตั้งค่าในเครื่อง โดยไม่ต้องถอดเปลี่ยนซิมการ์ด
โทรศัพท์รุ่นใดบ้างที่รองรับ eSIM?
สมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ๆ ส่วนใหญ่รองรับ eSIM. ตัวอย่างเช่น iPhone XR/XS ขึ้นไปทุกรุ่น (รวมถึง iPhone 14, 15), Samsung Galaxy S20 ขึ้นไปและรุ่นพับได้ Z Flip/Fold, Google Pixel 2 ขึ้นไป, Huawei P40/Mate40 เป็นต้น. นอกจากนี้ สมาร์ทวอทช์ที่มี cellular (Apple Watch, Galaxy Watch LTE) และแท็บเล็ต/โน้ตบุ๊กบางรุ่นก็มี eSIM ในตัว. หากไม่แน่ใจ ให้ตรวจสอบสเปคโทรศัพท์รุ่นนั้นๆ ว่ามี eSIM หรือดูในเมนูตั้งค่าของเครื่องว่ามีตัวเลือก “เพิ่ม eSIM” หรือไม่
eSIM มีข้อดีอะไรบ้าง?
ข้อดีของ eSIM ได้แก่: ไม่ต้องใช้การ์ดซิมจริง (ไม่ต้องถอดเปลี่ยนซิม), หมดกังวลเรื่องซิมหายหรือเสีย, หนึ่งเครื่องเก็บได้หลายเบอร์ (สะดวกสำหรับคนมีหลายหมายเลข), สลับเครือข่ายหรือแพ็กเกจง่ายผ่านการตั้งค่า, เหมาะกับอุปกรณ์ไฮเทคขนาดเล็ก (เช่นสมาร์ทวอทช์), และปลอดภัยกว่าในแง่ซิมไม่ถูกถอดขโมยไปใช้. ทั้งหมดนี้ช่วยให้การใช้งานมือถือยืดหยุ่นและสะดวกขึ้นมาก
eSIM มีข้อเสียหรือข้อควรระวังอะไรบ้าง?
ข้อควรระวังของ eSIM คือ: การย้ายเบอร์ไปเครื่องอื่นเมื่อมือถือหาย/เสียจะยุ่งยากกว่าซิมปกติ (ต้องขอโปรไฟล์ใหม่จากค่าย), ต้องใช้กับอุปกรณ์รุ่นใหม่ที่รองรับ eSIM (มือถือเก่าใช้ไม่ได้), ขั้นตอนการตั้งค่าแรกเริ่มอาจซับซ้อนเล็กน้อยสำหรับบางคน, และแม้ส่วนใหญ่รองรับบริการทุกอย่างแล้ว แต่อาจมีบางกรณีที่ต้องใช้ซิมการ์ด (เช่นอุปกรณ์ที่ไม่รองรับ eSIM). ดังนั้น ผู้ใช้ควรเก็บ QR Code/eSIM activation ที่ได้รับมาในที่ปลอดภัย เผื่อต้องติดตั้งใหม่ และจดบันทึกวิธีติดต่อค่ายมือถือกรณีเครื่องหายเพื่ออายัด/ออก eSIM ใหม่
จะเปลี่ยนมาใช้ eSIM ต้องทำอย่างไร?
การเปลี่ยนมาใช้ eSIM ทำได้สองแบบ: 1) เปิดเบอร์ใหม่เป็น eSIM – ติดต่อค่ายมือถือของคุณ (AIS, True, dtac) แจ้งว่าต้องการซิมแบบ eSIM เมื่อสมัครเบอร์ใหม่ ทางค่ายจะให้ QR Code มาแทนการ์ดซิม, 2) เปลี่ยนเบอร์เดิม (ที่ใช้ซิมการ์ดอยู่) เป็น eSIM – สามารถทำได้ที่ศูนย์บริการของเครือข่ายนั้นๆ นำบัตรประชาชนไปยืนยันตัวตนและขอเปลี่ยนเป็น eSIM. บางกรณีอาจทำผ่านออนไลน์ได้ (เช่น ผ่านแอปของค่าย) แล้วรับ QR Code ทางอีเมล/แอป. เมื่อได้ QR Code มาแล้ว ก็สแกนลงเครื่องตามขั้นตอนที่ค่ายแจ้งเพื่อย้ายเบอร์มาบน eSIM
หนึ่งเครื่องใส่ eSIM ได้กี่เบอร์? ใช้พร้อมกันได้หรือไม่?
จำนวนโปรไฟล์ eSIM ที่เก็บได้ในเครื่องขึ้นอยู่กับรุ่นอุปกรณ์. ส่วนใหญ่สมาร์ทโฟนจะเก็บได้ประมาณ 5-8 โปรไฟล์ต่อเครื่อง. อย่าง iPhone สามารถเก็บ eSIM ได้ถึง 8 โปรไฟล์ (ตั้งแต่รุ่น iPhone 13 ขึ้นมา) ส่วน Android บางรุ่นอาจรองรับน้อยกว่า. อย่างไรก็ดี การเปิดใช้งาน “พร้อมกัน” จะจำกัดตามการรองรับ Dual SIM ของเครื่อง – ปกติคือ 2 เบอร์พร้อมกัน (เช่น iPhone รองรับซิมคู่ 2 เบอร์ ไม่ว่าจะเป็น [ซิมจริง+eSIM] หรือ [eSIM+eSIM]). ดังนั้นแม้จะมีหลายโปรไฟล์ คุณต้องเลือกเปิดใช้งานทีละไม่เกิน 2 โปรไฟล์ (สายเรียกเข้าออก, เน็ต จะวิ่งที่ 2 โปรไฟล์ที่เปิดอยู่เท่านั้น). ผู้ใช้สามารถสลับเปิด/ปิดโปรไฟล์ที่ต้องการใช้งานผ่านการตั้งค่าได้ตลอดเวลาตามสะดวก
eSIM ใช้งานในต่างประเทศได้หรือไม่?
ได้. eSIM สามารถใช้งานในต่างประเทศได้ทั้งสองรูปแบบ: 1) ใช้ eSIM เบอร์หลักของคุณเปิดโรมมิ่งกับเครือข่ายต่างประเทศ (เหมือนซิมปกติ) – ก่อนเดินทางควรสมัครแพ็กเกจโรมมิ่งหรือเปิดโรมมิ่งไว้ แล้วเมื่อถึงที่หมายเครื่องจะจับสัญญาณเอง (ถ้าค่ายรองรับ eSIM โรมมิ่ง ซึ่งตอนนี้เครือข่ายใหญ่ๆ รองรับเกือบหมด), 2) ซื้อ eSIM ของเครือข่ายท้องถิ่นหรือซิมท่องเที่ยว – วิธีนี้ประหยัดกว่า โดยคุณซื้อแพ็กเกจ eSIM ของประเทศปลายทาง (ผ่านผู้ให้บริการเช่น AIS SIM2Fly, True Travel หรือผู้ให้บริการสากลอย่าง Airalo) แล้วติดตั้งลงเครื่อง. เมื่อถึงต่างประเทศก็เปิดใช้งานโปรไฟล์ eSIM นั้น ใช้เน็ตและโทรในประเทศนั้นได้ทันที โดยยังเก็บ eSIM เบอร์ไทยของคุณไว้ในเครื่อง (จะเปิดพร้อมกันหรือปิดชั่วคราวก็ได้ตามต้องการ)
หวังว่าข้อมูลทั้งหมดนี้จะช่วยให้คุณเข้าใจ eSIM คืออะไร และเห็นภาพรวมของการใช้งาน eSIM ได้ชัดเจนยิ่งขึ้น. เทคโนโลยี eSIM ถือเป็นก้าวหนึ่งของการเชื่อมต่อยุคใหม่ที่ลดข้อจำกัดของซิมการ์ดแบบเดิม. หากคุณมีอุปกรณ์ที่รองรับและライฟสไตล์การใช้งานที่เหมาะสม eSIM อาจเป็นตัวเลือกที่ดีในการเพิ่มความสะดวกสบายให้กับประสบการณ์การใช้งานมือถือของคุณ

ชื่อของฉันคือ นิรุตติ์ แสนไชย
ฉันเป็นผู้เชี่ยวชาญในด้านโทรคมนาคม ฉันเคยทำงานในบริษัททั้งหมดในประเทศไทย: AIS (เครื่องหมายการค้า 1-2-call), DTAC (เครื่องหมายการค้า Happy) และ True Mobile
ฉันหวังว่าเว็บไซต์ของฉันจะช่วยคุณได้และจะมีประโยชน์มาก