เทคโนโลยี 5G ถือเป็นยุคใหม่ของเครือข่ายมือถือที่มอบประสบการณ์อินเทอร์เน็ตไร้สายที่เร็วและเสถียรมากกว่าเดิม ในประเทศไทย เราได้ก้าวเข้าสู่ยุค 5G อย่างรวดเร็วตั้งแต่ปี 2020 ทำให้ผู้ใช้เริ่มสัมผัสกับความเร็วที่เพิ่มขึ้นและคุณภาพการเชื่อมต่อที่ดียิ่งขึ้น ผู้ให้บริการหลักอย่าง AIS, TrueMove H และ DTAC ต่างแข่งขันพัฒนาเครือข่าย 5G เพื่อครอบคลุมพื้นที่มากที่สุดและให้บริการที่ดีที่สุดแก่ลูกค้า จนถึงสิ้นปี 2022 ประเทศไทยมีสัญญาณ 5G ครอบคลุมประชากรกว่า 85% และมีผู้ใช้งานเกือบสิบล้านรายแล้ว ซึ่งนับเป็นหนึ่งในอัตราการเข้าถึง 5G ที่สูงที่สุดในภูมิภาค ASEAN (เป็นรองเพียงสิงคโปร์เท่านั้น). อีกทั้งการวิเคราะห์ล่าสุดพบว่าผู้ใช้ชาวไทยได้รับประสบการณ์ 5G ที่ดีขึ้นเมื่อใช้งานบนย่านความถี่กลาง 2.6GHz (n41) หลังการควบรวมเครือข่ายของ DTAC และ TrueMove H ที่เปิดให้ลูกค้า DTAC เข้าถึงคลื่น 2.6GHz ได้ ส่งผลให้ความเร็วและคุณภาพวิดีโอของผู้ใช้ดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
บทความนี้จะพาผู้อ่านไปรู้จักกับวิวัฒนาการเครือข่ายมือถือจากยุค 1G ถึง 6G, อธิบายข้อดีของ 5G เมื่อเทียบกับเทคโนโลยีก่อนหน้า, เปรียบเทียบการแข่งขันของผู้ให้บริการเครือข่าย 5G ในไทย อย่าง AIS, TrueMove H, และ DTAC, วิเคราะห์ความแตกต่างระหว่าง 4G กับ 5G ทั้งด้านความเร็ว ความหน่วง และการครอบคลุม รวมถึงแนะนำสมาร์ทโฟนและเราเตอร์รุ่นยอดนิยมที่รองรับ 5G ในปัจจุบัน นอกจากนี้ยังรวมถึงความคิดเห็นและประสบการณ์จริงจากผู้ใช้ตามสื่อสังคมออนไลน์ ตลอดจนตอบคำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ 5G เพื่อให้ผู้อ่านได้รับข้อมูลอย่างครบถ้วน
ประวัติความเป็นมาของเครือข่ายมือถือจาก 1G ถึง 6G
เครือข่ายโทรศัพท์มือถือมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องมาเป็นลำดับรุ่น (Generations หรือ G) โดยแต่ละยุคมีเทคโนโลยีและความสามารถที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน เรามาทบทวนกันตั้งแต่ 1G ยุคแรก จนถึง 6G ที่กำลังจะมาถึงในอนาคต:
🕰️ ยุค 1G – โทรศัพท์มือถืออนาล็อก
1G (1st Generation) เป็นยุคแรกของโทรศัพท์มือถือ (ประมาณปี ค.ศ. 1980 หรือ พ.ศ. 2523 เป็นต้นมา) ใช้การสื่อสารด้วยสัญญาณ อนาล็อก 100% ทำให้สามารถโทรศัพท์เสียงได้แบบไร้สาย แต่ยังไม่รองรับบริการข้อมูลใดๆ ไม่มีการส่งข้อความหรืออินเทอร์เน็ต ยุคนี้โทรศัพท์มือถือมีขนาดใหญ่ (เช่น โทรศัพท์รถยนต์) และคุณภาพเสียงยังไม่ชัดเจนมาก แต่ถือเป็นจุดเริ่มต้นของการสื่อสารเคลื่อนที่ไร้สาย
📟 ยุค 2G – ระบบดิจิทัลและ SMS
2G (2nd Generation) เปิดตัวประมาณช่วงปี 1990 (พ.ศ. 2533+) โดยเปลี่ยนมาใช้สัญญาณดิจิทัล แทนอนาล็อก เทคโนโลยี GSM (Global System for Mobile Communications) ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย คุณสมบัติเด่นของ 2G คือรองรับการส่งข้อความสั้นหรือ SMS และมีความปลอดภัยสูงขึ้น เสียงในการโทรชัดเจนกว่า 1G และสามารถเข้ารหัสสัญญาณเพื่อป้องกันการดักฟัง นอกจากนี้ 2G ยังเริ่มรองรับบริการข้อมูลความเร็วต่ำเช่น WAP (บริการอินเทอร์เน็ตยุคต้นที่ยังเป็นข้อความพื้นฐาน) แต่โดยหลักแล้วยังคงเน้นการโทรและส่งข้อความเป็นหลัก
📶 ยุค 3G – อินเทอร์เน็ตมือถือยุคแรก
3G (3rd Generation) เริ่มต้นช่วงปลายปี 1990 ถึงต้น 2000 (ในไทยประมาณปี 2553 ในเชิงพาณิชย์) เป็นยุคที่เครือข่ายมือถือรองรับการเชื่อมต่อข้อมูลความเร็วสูงขึ้น เปิดประตูสู่การใช้งาน อินเทอร์เน็ตบนมือถือ อย่างจริงจัง 3G รองรับความเร็วระดับเมกะบิตต่อวินาที ทำให้สามารถท่องเว็บ ดูรูปภาพ ส่งอีเมล และใช้งานโซเชียลมีเดียบนมือถือได้ นอกจากนี้ยังรองรับการสนทนาเห็นภาพ (Video Call) และการส่งข้อความมัลติมีเดีย (MMS) ยุค 3G นี้เองที่สมาร์ทโฟนเริ่มแพร่หลาย ระบบปฏิบัติการอย่าง iOS และ Android เกิดขึ้น และผู้คนเริ่มใช้งานอินเทอร์เน็ตเคลื่อนที่ในชีวิตประจำวัน
🌐 ยุค 4G – บรอดแบนด์ไร้สายความเร็วสูง
4G (4th Generation) เปิดตัวประมาณปี 2010 (พ.ศ. 2553+) นำเทคโนโลยีเครือข่ายมือถือเข้าสู่ยุคของ Mobile Broadband อย่างเต็มรูปแบบ 4G ส่วนใหญ่ใช้เทคโนโลยี LTE (Long Term Evolution) ที่สามารถให้ความเร็วในการดาวน์โหลดข้อมูลระดับหลายสิบถึงหลายร้อย Mbps (เร็วกว่า 3G หลายเท่า) ความหน่วง (latency) ลดลง ทำให้การสื่อสารเรียลไทม์ดีขึ้น การใช้งานอินเทอร์เน็ตบนมือถือเป็นไปอย่างราบรื่น สามารถสตรีมวิดีโอความละเอียดสูง (HD/Full HD) เล่นเกมออนไลน์ และวีดีโอคอลคุณภาพสูงได้โดยไม่มีสะดุด 4G ยังใช้โครงสร้างเครือข่ายแบบ IP ทั้งหมด ทำให้บริการต่างๆ (เสียง, ข้อความ, ข้อมูล) ทำงานผ่านอินเทอร์เน็ตเป็นหลัก (เช่น VoLTE – การโทรผ่านเครือข่าย LTE)
🚀 ยุค 5G – ยุคใหม่แห่งการเชื่อมต่อไร้สาย
5G (5th Generation) คือยุคปัจจุบันของเครือข่ายมือถือ เปิดตัวเชิงพาณิชย์ครั้งแรกๆ ราวปี 2019-2020 และในประเทศไทยก็เริ่มให้บริการตั้งแต่ปี 2563 เป็นต้นมา 5G ถูกออกแบบมาเพื่อรองรับการเชื่อมต่อความเร็วสูงระดับ กิกะบิต (Gbps) ความหน่วงที่ต่ำมาก (ในบางกรณีต่ำกว่า 10 มิลลิวินาที) และรองรับอุปกรณ์จำนวนมหาศาลต่อหนึ่งพื้นที่ (เช่น IoT หลายล้านชิ้นต่อตารางกิโลเมตร) เมื่อเทียบกับ 4G แล้ว 5G สามารถให้ความเร็วในการดาวน์โหลด/อัพโหลดสูงกว่าเดิมหลายเท่า เปิดโอกาสให้บริการใหม่ๆ เช่น วิดีโอความละเอียด 4K/8K, การสตรีม VR/AR สด, การควบคุมยานพาหนะหรือหุ่นยนต์ระยะไกล, และแอปพลิเคชันที่ต้องการความเสถียรสูง (เช่น การผ่าตัดทางไกล) นอกจากนี้ 5G ยังมีฟีเจอร์ทางเทคนิคใหม่อย่าง Network Slicing (การแบ่งเครือข่ายเสมือนเพื่อใช้งานเฉพาะทาง), Massive MIMO (การใช้เสาสัญญาณจำนวนมากเพื่อเพิ่มความจุ) และการใช้คลื่นความถี่สูงระดับมิลลิเมตร (mmWave) เพื่อเพิ่มความเร็วในพื้นที่หนาแน่น อย่างไรก็ตาม ระยะแรกของ 5G ในไทยยังใช้ทั้งโหมด NSA (Non-Standalone – อาศัยโครงข่ายร่วมกับ 4G) และกำลังพัฒนาไปสู่ SA (Standalone) เต็มรูปแบบในอนาคต
🛰️ ยุค 6G – อนาคตของเครือข่าย (อยู่ระหว่างการพัฒนา)
6G (6th Generation) คือเครือข่ายยุคถัดไปที่อยู่ในช่วงวิจัยและพัฒนายังไม่เปิดใช้งานจริง คาดว่าเทคโนโลยี 6G จะเริ่มใช้งานราวปี 2030 (พ.ศ. 2573) เป็นต้นไป 6G มีเป้าหมายที่จะก้าวข้ามขีดจำกัดหลายอย่างของ 5G โดยใช้ความถี่ระดับสูงมาก (อาจถึงช่วง เทราเฮิร์ตซ์) ส่งผลให้สามารถรับส่งข้อมูลได้เร็วขึ้นมหาศาล – บางแหล่งคาดการณ์ว่า 6G อาจทำความเร็วได้ถึง ~95 Gb/s เลยทีเดียว (เร็วกว่าความเร็วสูงสุดของ 5G หลายสิบเท่า) นอกจากนี้ 6G จะเน้นการเชื่อมต่อที่อัจฉริยะยิ่งขึ้น ผสานรวมกับ AI และระบบประมวลผลที่ล้ำยุค เพื่อตอบสนองการใช้งานในโลกอนาคต เช่น เมืองอัจฉริยะเต็มรูปแบบ, การสื่อสารผ่านโครงข่ายดาวเทียมวงโคจรต่ำ, และประสบการณ์เสมือนจริงที่สมบูรณ์แบบ ปัจจุบันแม้ 5G ยังครอบคลุมไม่ทั่วทั้งหมด แต่กระแสของ 6G ก็เริ่มมีการพูดถึงและวิจัยในห้องทดลองแล้ว อย่างไรก็ดี คงต้องใช้เวลาอีกหลายปีกว่า 6G จะกลายเป็นความจริงให้ผู้ใช้ทั่วไปได้สัมผัส
ข้อดีและประโยชน์ของเทคโนโลยี 5G
เทคโนโลยี 5G มาพร้อมกับคุณสมบัติใหม่ๆ ที่ยกระดับประสบการณ์การสื่อสารไร้สายให้ดียิ่งขึ้นเมื่อเทียบกับเครือข่ายรุ่นก่อน ต่อไปนี้คือข้อดีหลักและความสำคัญของ 5G:
- ความเร็วสูงกว่าเดิมหลายเท่า: ข้อได้เปรียบแรกที่ผู้ใช้รู้สึกได้คือ ความเร็วอินเทอร์เน็ตที่สูงขึ้น อย่างชัดเจน 5G สามารถรองรับความเร็วในการดาวน์โหลดระดับกิกะบิตต่อวินาที (Gbps) ในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม ซึ่งเร็วกว่า 4G ที่มีความเร็วสูงสุดระดับร้อยเมกะบิตต่อวินาที ตัวอย่างเช่น บริการ 5G ในไทยบางพื้นที่สามารถทำความเร็วดาวน์โหลดได้จริงประมาณ 500 Mbps หรือมากกว่า ขณะที่ 4G อาจอยู่ราว 30–100 Mbps เท่านั้น ความเร็วที่เพิ่มขึ้นนี้ทำให้การดาวน์โหลดไฟล์ขนาดใหญ่ การสตรีมวิดีโอ 4K/8K หรือการเล่นเกมออนไลน์ที่มีกราฟิกสูงเป็นไปอย่างลื่นไหลไม่สะดุด
- ความหน่วงต่ำและตอบสนองรวดเร็ว: 5G ถูกออกแบบให้มี Latency (ความหน่วงในการรับส่งข้อมูล) ต่ำมาก เมื่อเทียบกับ 4G ที่มีค่า latency ราว 20-30 มิลลิวินาที 5G สามารถลดค่าหน่วงนี้ให้เหลือเพียงไม่ถึง 10 มิลลิวินาทีในกรณีที่เป็นเครือข่าย 5G โหมด SA ซึ่งหมายความว่าการตอบสนองของเครือข่ายเกือบจะทันทีทันใด ผลดีคือแอปพลิเคชันที่ต้องการการตอบสนองแบบเรียลไทม์จะทำงานได้ดีขึ้น เช่น การเล่นเกมออนไลน์แนว FPS ที่ต้องการความไวในการควบคุม, การควบคุมโดรนหรือยานยนต์ทางไกลแบบเรียลไทม์, รวมถึงการผ่าตัดทางไกลผ่านหุ่นยนต์ที่แพทย์ต้องควบคุมอุปกรณ์แบบเสี้ยววินาที
- รองรับอุปกรณ์จำนวนมหาศาล (IoT): เครือข่าย 5G รองรับการเชื่อมต่ออุปกรณ์จำนวนมากพร้อมๆ กันได้ดีกว่า 4G มาก เทคโนโลยีที่เรียกว่า mMTC (massive Machine Type Communications) ทำให้ในพื้นที่หนึ่งตารางกิโลเมตร 5G สามารถรองรับอุปกรณ์ IoT ได้เป็นล้านชิ้น โดยที่ยังคงประสิทธิภาพการเชื่อมต่อที่ดี แตกต่างจาก 4G ที่หากมีการใช้งานพร้อมกันหนาแน่นมากๆ ในพื้นที่เดียว (เช่น ในสนามกีฬา, คอนเสิร์ต) เครือข่ายจะติดขัดหรือช้าลงอย่างชัดเจน ความสามารถนี้ของ 5G จะช่วยผลักดันให้เกิดเมืองอัจฉริยะ (Smart City) ที่มีเซ็นเซอร์และอุปกรณ์ IoT กระจายอยู่ทั่ว, รถยนต์ไร้คนขับที่สื่อสารกับโครงข่ายแบบเรียลไทม์, และระบบบ้านอัจฉริยะที่ทุกอุปกรณ์เชื่อมต่อออนไลน์ได้ตลอดเวลา
- คุณภาพการสื่อสารและประสบการณ์ที่ดีขึ้น: ด้วยแบนด์วิธที่สูงของ 5G ทำให้รองรับการส่งข้อมูลปริมาณมากๆ ได้พร้อมกัน ส่งผลให้คุณภาพในการสื่อสารดีขึ้น เช่น การวิดีโอคอลความละเอียดสูงจะคมชัดและลื่นไหลขึ้น, การสตรีมสดไม่สะดุดแม้เลือกความละเอียดสูง, และการใช้งานอินเทอร์เน็ตในที่ชุมชนหนาแน่นจะยังคงรวดเร็ว นอกจากนี้ 5G ยังลดปัญหาการโทรหลุดหรือสัญญาณขาดหายระหว่างใช้งานเนื่องจากเครือข่ายรองรับผู้ใช้ได้มากกว่าและจัดการทราฟฟิกได้มีประสิทธิภาพกว่า
- เปิดโอกาสใหม่ทางธุรกิจและนวัตกรรม: ความสามารถของ 5G ไม่ได้เป็นเพียงการเพิ่มความเร็วสำหรับผู้ใช้ทั่วไปเท่านั้น แต่ยังเปิดประตูสู่นวัตกรรมใหม่ๆ ในภาคธุรกิจและอุตสาหกรรม เช่น โรงงานอุตสาหกรรมสามารถใช้ 5G ควบคุมเครื่องจักรและหุ่นยนต์แบบไร้สายด้วยความแม่นยำ (Industrial IoT), วงการแพทย์สามารถพัฒนาการรักษาทางไกลผ่านหุ่นยนต์ผ่าตัดหรือการวินิจฉัยผู้ป่วยจากศูนย์กลาง, วงการบันเทิงสามารถสร้างประสบการณ์ VR/AR ที่สมจริงให้ผู้ชมผ่านการสตรีมแบบเรียลไทม์, และผู้ให้บริการเครือข่ายเองสามารถแบ่งเครือข่าย (Network Slicing) เป็นส่วนๆ เพื่อรองรับบริการเฉพาะทางแต่ละประเภทได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- ประสิทธิภาพพลังงานและค่าใช้จ่ายต่อข้อมูล: แม้ว่าเครือข่าย 5G จะประกอบด้วยสถานีฐานและอุปกรณ์ส่งสัญญาณที่หนาแน่นขึ้นในบางย่านความถี่ แต่ในแง่ของประสิทธิภาพการส่งข้อมูล (bit per energy) 5G ได้รับการออกแบบให้ใช้พลังงานต่อข้อมูลที่ส่งน้อยลง และเมื่อพิจารณาค่าใช้จ่ายต่อปริมาณข้อมูล (cost per GB) 5G มีศักยภาพที่จะถูกลงเมื่อโครงข่ายถูกใช้งานเต็มที่ เนื่องจากส่งข้อมูลได้ปริมาณมากกว่าในเวลาเท่ากัน อนึ่ง ในช่วงแรกของการเปิดตัว 5G อาจมีค่าแพ็กเกจที่สูงกว่า 4G เนื่องจากต้นทุนการลงทุนเครือข่าย แต่ในระยะยาวเมื่อมีผู้ใช้มากขึ้น ต้นทุนต่อหัวจะลดลงและผู้ใช้น่าจะได้ใช้บริการในราคาที่คุ้มค่าขึ้น
ด้วยคุณสมบัติข้างต้น 5G จึงถูกมองว่าเป็นโครงสร้างพื้นฐานสำคัญที่จะขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมดิจิทัลในยุคถัดไป ในประเทศไทยเอง การมาของ 5G ช่วยยกระดับบริการต่างๆ เช่น การศึกษาทางไกล, การท่องเที่ยวเสมือนจริง, และการค้าขายออนไลน์ที่ต้องพึ่งพาการสื่อสารความเร็วสูง อย่างไรก็ตาม การใช้งาน 5G ให้ได้ประโยชน์สูงสุดยังขึ้นอยู่กับปัจจัยอื่นๆ อย่างความครอบคลุมของสัญญาณ, คุณภาพอุปกรณ์ปลายทาง, และความพร้อมของบริการที่รองรับ 5G อีกด้วย
เปรียบเทียบผู้ให้บริการเครือข่าย 5G ในไทย (AIS, TrueMove H, DTAC)
ตลาดโทรคมนาคมมือถือในประเทศไทยมีการแข่งขันสูง โดยเฉพาะระหว่างสามค่ายหลักได้แก่ AIS (เครือข่ายเอไอเอส), TrueMove H (ทรูมูฟ เอช) และ DTAC (ดีแทค) ซึ่งในยุค 5G ต่างก็เร่งพัฒนาเครือข่ายของตนเพื่อดึงดูดผู้ใช้งาน เรามาดูภาพรวมและเปรียบเทียบแต่ละค่ายดังนี้:
- AIS (เอไอเอส): AIS เป็นผู้ให้บริการรายใหญ่และมีส่วนแบ่งตลาดสูงสุดในไทย มีชื่อเสียงด้านคุณภาพสัญญาณและความครอบคลุมที่กว้างขวาง ในยุค 5G, AIS เป็นรายแรกๆ ที่เปิดตัวบริการ (ประกาศความพร้อม 5G ทันทีที่ได้รับจัดสรรคลื่นความถี่ในต้นปี 2563) ปัจจุบัน AIS มีคลื่นความถี่สำหรับ 5G หลักคือย่าน 700MHz (n28) สำหรับครอบคลุมทั่วประเทศ และย่าน 2600MHz (n41) จำนวนแบนด์วิธกว้างถึง 100 MHz สำหรับให้ความเร็วและความจุในพื้นที่เมือง นอกจากนี้ AIS ยังมีคลื่นความถี่ระดับมิลลิเมตร (26 GHz) ที่ชนะการประมูลมา เพื่อใช้ในงาน 5G เฉพาะด้านที่ต้องการความเร็วสูงพิเศษ (เช่น งานสาธิตหรือในอุตสาหกรรม) จากรายงานวิเคราะห์หลายแหล่ง AIS มักครองอันดับความเร็ว 5G เฉลี่ยสูงสุดในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง และชนะรางวัลด้านประสบการณ์ความเร็วจาก Opensignal หลายหมวด นอกจากความเร็วแล้ว AIS ยังมีเครือข่าย 5G ที่ครอบคลุม 77 จังหวัด และมีบริการลูกค้า Serenade ที่รองรับผู้ใช้ระดับพรีเมียม จุดเด่นอีกด้านคือ AIS ได้พัฒนาโครงข่าย AIS 5G NEXT ที่รองรับบริการใหม่ๆ เช่น VR, Cloud Gaming, และโซลูชันสำหรับภาคธุรกิจ (AIS Business 5G)
- TrueMove H / DTAC (ทรูมูฟ เอช และ ดีแทค): TrueMove H และ DTAC ในอดีตเป็นผู้ให้บริการแยกจากกัน (ทรูเป็นอันดับสอง และดีแทคอันดับสามของตลาด) แต่ล่าสุดได้มีการควบรวมกิจการเข้าด้วยกันเป็นบริษัท True Corporation ในปี 2023 ส่งผลให้ฐานลูกค้ารวมกันใหญ่ทัดเทียม AIS การควบรวมนี้ส่งผลอย่างมากต่อเครือข่าย 5G ของทั้งสองค่าย เนื่องจากแต่เดิม TrueMove H มีความได้เปรียบเรื่องคลื่นย่านกลาง 2600MHz (ทรูมีแบนด์วิธ 90 MHz บน n41 จากการประมูล) ขณะที่ DTAC ไม่มีคลื่นย่านนี้ในช่วงแรกและอาศัยเพียงคลื่น 700MHz และ 26GHz สำหรับ 5G การรวมโครงข่ายทำให้ลูกค้า DTAC สามารถเข้าถึงคลื่น 2600MHz ของทรูได้มากขึ้น ผลวิเคราะห์จาก Opensignal พบว่าในช่วงหลังการควบรวม ผู้ใช้ DTAC ที่ได้ใช้ 5G บนย่าน 2.6GHz มีความเร็วและประสบการณ์วิดีโอที่ดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ (โดยความเร็วดาวน์โหลดเฉลี่ยของ DTAC 5G เพิ่มขึ้นกว่า 2.8 เท่าจาก ~29.6Mbps เป็น 82.1Mbps หลังได้ใช้คลื่นร่วมกับทรู). ทางด้าน TrueMove H เองก็ได้รับประโยชน์จากการรวมคลื่น 700MHz ของ DTAC เพื่อเติมเต็มการครอบคลุมในพื้นที่ห่างไกล อีกทั้งหลังควบรวม บริษัทใหม่ยังถือครองคลื่นความถี่รวมหลายย่านมากที่สุด ได้แก่ 700MHz, 850MHz, 900MHz, 1800MHz, 2100MHz, 2600MHz และ 26GHz ทำให้มีความยืดหยุ่นในการบริหารเครือข่ายสูง ปัจจุบัน TrueMove H และ DTAC ยังให้บริการภายใต้แบรนด์แยกกันอยู่ แต่มีการทยอยรวมโครงข่ายหลังบ้าน ผู้ใช้สามารถใช้โรมมิ่ง 5G ข้ามกันได้ในบางย่านความถี่ ผลการทดสอบความเร็วช่วงปลายปี 2023 พบว่า TrueMove H มีความเร็ว 5G ดีขึ้นใกล้เคียง AIS มากขึ้น (ลดช่องว่างเหลือเพียงประมาณ 2 Mbps) และยังครองอันดับความเร็วอัปโหลดดีที่สุดร่วมกับ AIS นอกจากนี้ TrueMove H ยังประกาศความครอบคลุม 5G ว่าครอบคลุมครบทุกจังหวัด (77 จังหวัด) เช่นเดียวกับ AIS โดยตั้งเป้าว่าจะครอบคลุมประชากรให้ได้ 85% ภายในปี 2565 (ซึ่งก็ทำได้สำเร็จตามเป้า) พร้อมทั้งชูจุดขายบริการคอนเวอร์เจนซ์ (Convergence) ร่วมกับเน็ตบ้าน (TrueOnline) และสื่อบันเทิง (TrueVisions, TrueID) เพื่อสร้างระบบนิเวศครบวงจร
- NT (กสท โทรคมนาคมรวม TOT): หลังการควบรวมกิจการระหว่าง TOT และ CAT Telecom ในปี 2564 บริษัทใหม่ NT (บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ) ได้ถือกำเนิดขึ้น NT แม้จะไม่ได้เป็นผู้เล่นหลักในตลาดมือถือเชิงพาณิชย์เมื่อเทียบกับสามค่ายใหญ่ แต่ก็มีการลงทุนในระบบ 5G ด้วยเช่นกัน โดย NT ได้รับการจัดสรรคลื่นความถี่ 26GHz (mmWave) บางส่วนจาก TOT เดิม และคลื่น 700MHz บางส่วนผ่านความร่วมมือกับกลุ่มดีแทคในอดีต NT ใช้คลื่นเหล่านี้ในการพัฒนาโครงข่าย 5G สำหรับงานเฉพาะทาง เช่น เครือข่าย 5G สำหรับภาคอุตสาหกรรมหรือองค์กร (Private 5G Network) และโครงการนำร่องด้าน Smart City นอกจากนี้ NT ยังเปิดให้บริการ 5G เชิงพาณิชย์ในรูปแบบ MVNO (ผู้ให้บริการเสมือน) ร่วมกับผู้ค้าปลีกบางราย (เช่น ซิม NT Mobile) แต่จำนวนลูกค้ายังไม่มาก จุดเด่นของ NT คือการผสานโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคมทั้งมือถือและอินเทอร์เน็ตบรอดแบนด์ภาคพื้นดินเข้าด้วยกันเพื่อสนับสนุนโครงการรัฐ ดังนั้นในบริบทตลาดทั่วไป AIS และ True/DTAC จะเป็นสองขั้วหลักที่แข่งขันกัน ในขณะที่ NT จับตลาดเฉพาะกลุ่มและสนับสนุนโครงสร้างพื้นฐานร่วม
สรุป: โดยภาพรวมทั้ง AIS และ TrueMove H (ควบรวม DTAC) ต่างก็มีเครือข่าย 5G ที่ครอบคลุมทั่วประเทศและมีประสิทธิภาพสูง ผู้ใช้งานสามารถเลือกค่ายที่เหมาะกับตนเองโดยพิจารณาจากพื้นที่การใช้งาน (บางพื้นที่ AIS อาจสัญญาณดีกว่า หรือบางพื้นที่ทรูดีกว่า), โปรโมชั่นแพ็กเกจ 5G ที่คุ้มค่า, และบริการพิเศษต่างๆ ทั้งสองค่ายหลักต่างก็พยายามพัฒนาโครงข่ายอย่างต่อเนื่อง เช่น เพิ่มจำนวนเสาสัญญาณ 5G ในจุดอับสัญญาณ, ขยายแกนหลักเครือข่ายให้รองรับผู้ใช้เพิ่มขึ้น, และทดสอบเทคโนโลยีใหม่ๆ (เช่น 5G Advanced หรือ 5.5G) เพื่อเตรียมก้าวสู่อนาคต สำหรับผู้ใช้ทั่วไป การมีการแข่งขันระหว่างค่ายมือถือย่อมเป็นผลดี เพราะหมายถึงการได้รับบริการที่ดีขึ้นในราคาที่แข่งขันได้
เปรียบเทียบ 4G กับ 5G – ต่างกันอย่างไร?
หนึ่งในคำถามที่หลายคนสงสัยคือ “4G กับ 5G ต่างกันอย่างไร” และมีความจำเป็นแค่ไหนที่จะต้องเปลี่ยนมาใช้ 5G ในเมื่อปัจจุบัน 4G ก็ใช้งานได้ดีอยู่ ในส่วนนี้เราจะเปรียบเทียบความแตกต่างที่สำคัญระหว่างเทคโนโลยี 4G LTE และ 5G เพื่อให้เห็นภาพชัดเจน:
คุณสมบัติ | 4G (LTE) | 5G |
---|---|---|
ความเร็วในการรับส่งข้อมูล | ความเร็วสูงสุดทางทฤษฎี ~1 Gbps (ในทางปฏิบัติทั่วไป 20–100 Mbps สำหรับดาวน์โหลด) | ความเร็วสูงสุดทางทฤษฎี ~10–20 Gbps (ในทางปฏิบัติสามารถทำได้ 100–1000+ Mbps ในพื้นที่ที่มีสัญญาณดี) |
ความหน่วง (Latency) | ประมาณ 20–50 มิลลิวินาที (ในเงื่อนไขเครือข่ายดี) | ต่ำมาก ~1–10 มิลลิวินาที (กรณีเครือข่าย 5G SA ที่ปรับแต่งดี) |
ความหนาแน่นของการเชื่อมต่อ | รองรับอุปกรณ์ได้จำกัดต่อสถานีฐาน (เมื่อผู้ใช้หนาแน่นมาก ประสิทธิภาพจะลดลง) | รองรับอุปกรณ์ได้มหาศาลต่อสถานีฐาน (เพิ่มขึ้นหลายเท่า เหมาะสำหรับ IoT จำนวนมาก) |
คลื่นความถี่ที่ใช้ | ย่านความถี่ต่ำ-กลาง (700MHz, 900MHz, 1800MHz, 2100MHz, 2600MHz ในบางประเทศ) – ระยะครอบคลุมกว้าง ความเร็วปานกลาง | ใช้งานทั้งย่านความถี่ต่ำ (เช่น 700MHz), ย่านกลาง (เช่น 2.6GHz) และย่านสูงมาก (mmWave เช่น 26GHz) – ย่านต่ำครอบคลุมไกล, ย่านกลางสมดุลความเร็ว/ครอบคลุม, ย่านสูงให้ความเร็วสูงสุดแต่ระยะสั้น |
เทคโนโลยีเสาสัญญาณ | เสาสัญญาณ MIMO 2×2 หรือ 4×4 ในบางกรณี | เสาสัญญาณ Massive MIMO (จำนวนหลายสิบถึงร้อยสายอากาศ) เพิ่มความสามารถในการรับส่งข้อมูล |
บริการที่รองรับ | อินเทอร์เน็ตบนมือถือความเร็วสูง, การสตรีมวิดีโอ HD, VoLTE (โทรเสียงผ่าน 4G), Video Call | ทุกอย่างที่ 4G ทำได้ บวกกับบริการใหม่: สตรีม 4K/8K, VR/AR แบบเรียลไทม์, IoT และยานพาหนะอัจฉริยะ, การผ่าตัด/ควบคุมระยะไกล เป็นต้น |
การใช้งานพลังงาน | ประหยัดพลังงานน้อยกว่าเมื่อเทียบต่อปริมาณข้อมูล (ประสิทธิภาพต่ำกว่า 5G เล็กน้อย) | ออกแบบให้ประหยัดพลังงานต่อบิตข้อมูลมากขึ้น อุปกรณ์รุ่นใหม่มีโหมดประหยัดพลังงานเมื่อไม่ได้ส่งข้อมูล |
สถานะการใช้งาน | แพร่หลายทั่วโลกและครอบคลุมเกือบทุกพื้นที่ในไทย | อยู่ระหว่างการขยายเครือข่าย – ในไทยครอบคลุมหลักๆ ในเมืองและแหล่งชุมชนใหญ่ กำลังขยายไปพื้นที่ชนบท |
จากตารางข้างต้นจะเห็นได้ว่า 5G มีศักยภาพที่เหนือกว่า 4G ในแทบทุกด้าน โดยเฉพาะความเร็วและความหน่วงที่ตอบสนองได้ทันที อย่างไรก็ตาม ในช่วงเริ่มต้นของการใช้งาน 5G อาจยังมีข้อจำกัดบางประการ เช่น พื้นที่ที่ยังไม่มีสัญญาณ 5G หรืออุปกรณ์ที่ยังไม่รองรับ นอกจากนี้ ค่าใช้จ่ายในการใช้ 5G (เช่น แพ็กเกจอินเทอร์เน็ต 5G) อาจสูงกว่า 4G อยู่บ้าง ทำให้ผู้ใช้บางกลุ่มอาจเลือกที่จะรอให้ราคาเข้าถึงได้ง่ายกว่านี้ก่อนเปลี่ยนมาใช้ 5G โดยรวมแล้ว หากคุณอยู่ในพื้นที่ที่มีสัญญาณ 5G และมีอุปกรณ์ที่รองรับ การอัพเกรดมาใช้ 5G จะให้ประสบการณ์อินเทอร์เน็ตที่ดีขึ้น ทั้งความเร็วที่เร็วทันใจและความเสถียรในสถานที่คนหนาแน่น แต่ถ้าพื้นที่ของคุณยังไม่มี 5G หรือคุณยังไม่มีความจำเป็นต้องใช้แบนด์วิดท์สูงมาก 4G ในปัจจุบันก็ยังตอบโจทย์การใช้งานทั่วไปได้อย่างสบาย
คำถาม: แล้วถ้าเรามีมือถือ 4G เดิม จะใช้ 5G ได้หรือไม่? คำตอบคือ ไม่ได้ – การจะใช้เครือข่าย 5G ได้นั้น อุปกรณ์มือถือของเราต้องรองรับ 5G ด้วย (ทั้งฮาร์ดแวร์โมเด็มและซอฟต์แวร์) หากมือถือเครื่องปัจจุบันรองรับแค่ 4G LTE ก็จะล็อกสัญญาณอยู่ที่ 4G แม้คุณจะอยู่ในพื้นที่ที่มี 5G ก็ตาม ดังนั้นการจะใช้งาน 5G จำเป็นต้องมีทั้งแพ็กเกจที่รองรับและอุปกรณ์ที่รองรับ เราจะกล่าวถึงอุปกรณ์รุ่นต่างๆ ในหัวข้อต่อไป
สมาร์ทโฟนและเราเตอร์ 5G ที่รองรับ
ปัจจัยสำคัญในการใช้งาน 5G ก็คือ อุปกรณ์ที่รองรับ 5G ปัจจุบันนี้มีทั้งโทรศัพท์มือถือ (สมาร์ทโฟน) และอุปกรณ์กระจายสัญญาณ (เช่น เราเตอร์ใส่ซิม) หลายรุ่นที่รองรับเครือข่าย 5G เราจะมาแนะนำตัวอย่างรุ่นยอดนิยมและเปรียบเทียบคุณสมบัติกัน
📱 สมาร์ทโฟน 5G รุ่นยอดนิยม
ตั้งแต่ปี 2020 เป็นต้นมา ผู้ผลิตสมาร์ทโฟนแทบทุกรายได้เปิดตัวรุ่นที่รองรับ 5G ออกสู่ตลาดอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันมีตั้งแต่รุ่นเรือธงระดับพรีเมียมไปจนถึงรุ่นกลางราคาย่อมเยาที่สามารถเชื่อมต่อ 5G ได้ สำหรับแบรนด์หลักๆ ที่คนไทยนิยม ได้แก่ Apple, Samsung, OPPO, Vivo, realme, Xiaomi, และ Huawei ต่างก็มีรุ่นที่รองรับ 5G แล้วทั้งสิ้น ตัวอย่างเช่น:
- Apple: iPhone รุ่นที่รองรับ 5G ได้แก่ iPhone 12 series, iPhone 13 series, iPhone 14 series และรุ่นใหม่ล่าสุด iPhone 15 series (รวมถึง iPhone SE รุ่นที่ 3 ปี 2022 ก็รองรับ 5G) **หมายเหตุ:** iPhone 11 และรุ่นเก่ากว่า ไม่รองรับ 5G (ทำงานได้สูงสุดแค่ 4G LTE) ดังนั้นใครใช้ iPhone 11 ลงไป หากต้องการใช้ 5G จำเป็นต้องอัปเกรดเครื่อง
- Samsung: ซัมซุงมีสมาร์ทโฟน 5G หลากหลายรุ่นมาก ตั้งแต่ระดับเรือธงอย่าง Galaxy S21/S22/S23 (รวมถึงรุ่น Plus/Ultra), Galaxy Note 20 Ultra 5G, และ Galaxy Z Fold / Z Flip ทุกรุ่น ไปจนถึงรุ่นกลางและรุ่นเริ่มต้นเช่น Galaxy A14 5G, A34 5G, A54 5G, หรือ M23 5G เป็นต้น เรียกได้ว่าปัจจุบันมือถือซัมซุงเกือบทุกรุ่นที่ออกใหม่ (ยกเว้นรุ่นราคาประหยัดมากๆ) จะรองรับ 5G ทั้งหมด
- OPPO: แบรนด์ OPPO ได้ออกสมาร์ทโฟน 5G หลากหลายเช่นกัน รุ่นยอดนิยมในตลาดไทยอย่าง OPPO Reno Series หลายรุ่นรองรับ 5G (เช่น Reno5 5G, Reno6 5G, Reno8 5G เป็นต้น) รวมถึงรุ่นเรือธง OPPO Find X3 Pro 5G, Find X5 Pro 5G และรุ่นระดับกลางอย่าง OPPO A74 5G, A95 5G ก็มีให้เลือก จุดเด่นของ OPPO คือมักเน้นดีไซน์และกล้อง พร้อมกับรองรับ 5G เพื่อความครบครัน
- Vivo: Vivo มีสมาร์ทโฟน 5G ในซีรีส์ต่างๆ เช่น รุ่นแฟล็กชิป Vivo X50 Pro 5G, X60 Pro 5G, รุ่นกลางยอดนิยมอย่าง Vivo V21 5G, V23 5G, และรุ่นราคาย่อมเยาเช่น Vivo Y52 5G, Y72 5G เป็นต้น จุดขายของ Vivo คือเรื่องกล้องเซลฟี่และดีไซน์บางเบา ซึ่งก็ไม่พลาดที่จะใส่ 5G มาให้ในรุ่นใหม่ๆ แทบทุกรุ่น
- realme: realme เป็นแบรนด์น้องใหม่ที่มาแรง โดยส่งสมาร์ทโฟน 5G ลงตลาดหลายรุ่นตั้งแต่ช่วงแรกของ 5G เช่น realme X50 5G, realme 7 5G, จากนั้นก็มีรุ่นต่อมาอย่าง realme 8 5G, realme 9 Pro 5G, realme GT Neo 3 5G, และในปีหลังๆ อย่าง realme 10 Pro 5G, realme 11 Pro+ 5G เป็นต้น realme มักชูจุดขายเรื่องสเปคคุ้มค่าในราคาเอื้อมถึง ทำให้ผู้ใช้สามารถเป็นเจ้าของมือถือ 5G ได้ในราคาที่ไม่แพงมากนัก
- Huawei: สำหรับ Huawei แม้จะเผชิญกับข้อจำกัดด้านชิปเซ็ตจากมาตรการของสหรัฐฯ แต่ในช่วงปี 2019-2020 Huawei มีสมาร์ทโฟนหลายรุ่นที่รองรับ 5G เช่น Huawei P40 / P40 Pro (5G), Mate 30 Pro 5G, Mate 40 Pro 5G, และรุ่นกลางอย่าง Nova 7 5G อย่างไรก็ตาม รุ่นที่ออกมาหลังจากนั้นบางรุ่นอาจรองรับแค่ 4G (เช่น P50 series ที่เป็น 4G เท่านั้น) ผู้ใช้ที่ต้องการมือถือ Huawei 5G จึงนิยมเล่นรุ่นท็อปสมัย P40/Mate40 ที่ยังรองรับ 5G อยู่ ทั้งนี้ Huawei ยังคงพัฒนาเทคโนโลยี 5G ต่อเนื่อง (โดยเฉพาะในอุปกรณ์โครงข่าย) แต่สำหรับสมาร์ทโฟนอาจจะต้องรอดูว่าจะแก้ไขข้อจำกัดด้านชิปอย่างไร
ด้านล่างนี้คือตารางเปรียบเทียบตัวอย่างสมาร์ทโฟน 5G รุ่นเด่นจากหลากหลายแบรนด์ เพื่อให้เห็นภาพรวมของสเปคและช่วงราคา:
รุ่นสมาร์ทโฟน 5G | ปีที่ออก | ระดับ/จุดเด่น |
---|---|---|
Apple iPhone 14 Pro Max | 2022 | เรือธง (Flagship) จาก Apple; รองรับ 5G ทุกเครือข่าย SA/NSA |
Samsung Galaxy S23 Ultra | 2023 | เรือธง Android; ชิป Snapdragon 8 Gen 2; รองรับ 5G mmWave/Sub6 |
OPPO Reno8 5G | 2022 | รุ่นกลางดีไซน์พรีเมียม; กล้องสวย; รองรับ 5G Sub6 |
Vivo V23 5G | 2022 | รุ่นกลางเน้นเซลฟี่; กล้องหน้า 50MP; รองรับ 5G |
realme GT Neo 3 (5G) | 2022 | รุ่นสเปคแรงคุ้มค่า; ชิป Dimensity 8100; ชาร์จไว 150W; รองรับ 5G |
Huawei Mate 40 Pro (5G) | 2020 | อดีตเรือธง Huawei; ชิป Kirin 9000 5G; ไม่มี GMS |
*หมายเหตุ: รุ่นข้างต้นเป็นเพียงตัวอย่างบางส่วน ปัจจุบันยังมีสมาร์ทโฟน 5G รุ่นอื่นๆ อีกมากมายในตลาด ทั้งรุ่นราคาไม่ถึง 10,000 บาทไปจนถึงรุ่นหลายหมื่นบาท ผู้บริโภคควรเลือกให้เหมาะกับงบประมาณและการใช้งานของตน
📡 เราเตอร์ 5G แบบใส่ซิม (CPE 5G) ยอดนิยม
นอกจากสมาร์ทโฟนแล้ว เราเตอร์ใส่ซิม 5G หรืออุปกรณ์กระจายสัญญาณอินเทอร์เน็ตผ่านเครือข่ายมือถือ 5G ก็เริ่มได้รับความนิยม โดยเฉพาะสำหรับใช้งานเป็นเน็ตบ้านไร้สาย (Fixed Wireless Access) หรือใช้งานอินเทอร์เน็ตในพื้นที่ที่สายอินเทอร์เน็ตเข้าไม่ถึง เราเตอร์เหล่านี้จะรองรับการใส่ซิมการ์ด 5G แล้วกระจายสัญญาณ Wi-Fi ให้กับอุปกรณ์ภายในบ้าน/สำนักงาน ซึ่งตอบโจทย์คนที่ต้องการความสะดวกในการติดตั้ง (เสียบปลั๊ก ใส่ซิม ก็ใช้งานได้เลย)
ตัวอย่างเราเตอร์ใส่ซิม 5G รุ่นน่าสนใจในตลาด (ปี 2024-2025) มีดังนี้:
รุ่นเราเตอร์ 5G | ราคาประมาณ | คุณสมบัติเด่น |
---|---|---|
D-Link DWR-X2000 | ~ 4,400 บาท | เราเตอร์ใส่ซิม 5G ขนาดเล็ก; รองรับ Wi-Fi 6 (AX1800); ต่ออุปกรณ์ได้ ~32 ชิ้น |
Tenda 5G03 5G NR | ~ 5,500 บาท | เราเตอร์ 5G รองรับ Wi-Fi 6; เสาสัญญาณภายนอก 2 ต้น; ความเร็ว 5G DL สูงสุด ~4.67 Gbps |
TP-Link Archer NX200 5G | ~ 5,900 บาท | เราเตอร์ 5G รองรับ Dual-Band Wi-Fi 6; ตั้งค่าง่ายผ่านแอป; เหมาะกับใช้ในบ้าน/คอนโด |
TP-Link Deco X50-5G | ~ 7,800 บาท | Mesh Wi-Fi Router รองรับ 5G; กระจายสัญญาณครอบคลุมทั่วบ้าน; รองรับ Wi-Fi 6 |
ZTE MC888 PRO | ~ 9,500 บาท | CPE 5G ระดับไฮเอนด์; รองรับ 5G SA/NSA ทุกเครือข่าย; ความเร็วสูงสุด 5.4 Gbps; เชื่อมต่ออุปกรณ์ได้มากกว่า 100 เครื่อง |
เราเตอร์เหล่านี้สามารถหาซื้อได้ตามร้านค้าไอทีชั้นนำและร้านค้าออนไลน์ต่างๆ การติดตั้งใช้งานก็ง่ายดาย เพียงใส่ซิม 5G ที่มีแพ็กเกจอินเทอร์เน็ต (จากผู้ให้บริการมือถือใดก็ได้) เข้าไปในตัวเราเตอร์ จากนั้นวางในจุดที่รับสัญญาณมือถือได้ดี ตัวเราเตอร์จะปล่อย Wi-Fi ให้เราเชื่อมต่ออุปกรณ์ต่างๆ ได้ทันที เหมาะสำหรับคนที่อยู่หอพัก, คอนโด, หรือบ้านที่ยังไม่ได้ติดตั้งเน็ตบ้านแบบสาย รวมถึงใช้เป็นเน็ตสำรองในกรณีที่เน็ตบ้านหลักมีปัญหา
คำถามที่หลายคนถามบ่อยคือ “router ใส่ซิม 5G ยี่ห้อไหนดี” คำตอบขึ้นอยู่กับงบประมาณและลักษณะการใช้งานของคุณ หากต้องการความประหยัดรุ่นเริ่มต้น D-Link หรือ Tenda ก็เพียงพอต่อการใช้งานทั่วไป แต่ถ้าต้องการความเร็วและความครอบคลุมสูงสุด รุ่นท็อปอย่าง ZTE MC888 Pro หรือ TP-Link Deco X50-5G ก็เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ อย่าลืมพิจารณาปัจจัยเรื่องความแรงสัญญาณในพื้นที่คุณด้วย เพราะเราเตอร์ 5G จะทำงานได้ดีต้องมีสัญญาณ 5G จากเครือข่ายมือถือที่แรงพอ
ความคิดเห็นและประสบการณ์ผู้ใช้ 5G ในไทย
แม้เทคโนโลยี 5G จะมีศักยภาพสูง แต่อย่างที่ทราบกันว่าการเปิดตัวช่วงแรกๆ อาจเจอความคิดเห็นและประสบการณ์ของผู้ใช้ที่หลากหลาย ทั้งด้านบวกและด้านลบ เราจึงรวบรวมตัวอย่างเสียงจากผู้ใช้งานจริงในไทยตามชุมชนออนไลน์ เช่น Pantip และกลุ่มเฟซบุ๊ก มาให้เห็นภาพว่า ผู้ใช้คิดอย่างไรกับ 5G ในปัจจุบัน:
“ณ ตอนนี้ไม่สำคัญ [ที่จะใช้ 5G] เพราะมันยังแพง และหมดไว…
…ส่วนตัว 4G ดีกว่า”
– ความคิดเห็นจากผู้ใช้รายหนึ่งในเว็บบอร์ด Pantip (สะท้อนว่าค่าบริการ 5G ที่สูงและแพ็กเกจจำกัดปริมาณทำให้บางคนยังรู้สึกว่า 4G เพียงพอ)
“มีใครใช้ 5G ค่ายเขียว (AIS) แล้วหลุดบ่อยบ้างหรือเปล่าคะ… ตั้งแต่เราใช้ 5G มา หลุดบ่อยจนโทรไปแจ้งแทบจะรายวันแล้วค่ะ”
– ผู้ใช้ Pantip อีกรายหนึ่งแชร์ประสบการณ์ปัญหาการเชื่อมต่อ 5G ที่หลุดบ่อย (ในที่นี้พูดถึงเครือข่าย AIS) ซึ่งอาจเกิดจากปัจจัยด้านสัญญาณหรืออุปกรณ์
“ความเร็วที่ได้จะอยู่ที่ 190-500 Mbps ซึ่งเร็วมากๆ
ถ้าเป็นความเร็วที่สามารถใช้งานได้จริง”
– ความเห็นจากผู้ใช้ออนไลน์รายหนึ่ง กล่าวถึงความเร็ว 5G ที่ทดสอบได้จริงราว 190-500 Mbps ซึ่งจัดว่าเร็วมากเมื่อเทียบกับการใช้งานจริงทั่วไป
จากตัวอย่างข้างต้นจะเห็นได้ว่า ผู้ใช้บางส่วนยังรู้สึกว่า 5G “ยังไม่จำเป็น” สำหรับตนเอง เนื่องจากค่าใช้จ่ายแพ็กเกจที่สูงและการใช้งาน 4G ปัจจุบันก็ครอบคลุมความต้องการแล้ว รวมถึงปัญหาทางเทคนิคบางประการเช่น สัญญาณ 5G ที่ยังไม่นิ่งหรือหลุดบ่อยในบางพื้นที่ อย่างไรก็ตาม ก็มีผู้ใช้จำนวนไม่น้อยที่ทดลองใช้งาน 5G แล้วรู้สึกประทับใจกับความเร็วที่ได้รับ ซึ่งสูงกว่า 4G อย่างชัดเจน (ดาวน์โหลดข้อมูลได้รวดเร็วทันใจ และสตรีมคอนเทนต์ต่างๆ ได้ลื่นไหลขึ้น)
ต้องยอมรับว่าช่วงเริ่มต้นของทุกเทคโนโลยีใหม่ เสียงตอบรับย่อมมีทั้งด้านบวกและด้านลบ ปัญหาหลายอย่างของ 5G ที่ผู้ใช้พบเจอ เช่น สัญญาณไม่ครอบคลุมทั่วถึง, ความเร็วไม่ได้สูงมากอย่างที่คาดหวังตลอดเวลา, หรือแพ็กเกจ data ที่จำกัดปริมาณ ยังเป็นสิ่งที่ผู้ให้บริการและผู้ผลิตอุปกรณ์ต้องแก้ไขปรับปรุงต่อไป ข่าวดีก็คือเครือข่าย 5G ในไทยกำลังขยายตัวอย่างต่อเนื่องและมีการลงทุนเพิ่มเสาสัญญาณในจุดอับ รวมถึงการแข่งขันของค่ายมือถือที่ทำให้ราคาแพ็กเกจ 5G มีแนวโน้มถูกลงเรื่อยๆ เราจึงคาดว่าในอีกไม่นาน ประสบการณ์ใช้งาน 5G จะดีขึ้น จนเป็นที่พึงพอใจของผู้ใช้ส่วนใหญ่ เหมือนที่ครั้งหนึ่ง 4G เคยเริ่มต้นแบบติดขัดและปัจจุบันกลายเป็นมาตรฐานที่ทุกคนยอมรับไปแล้ว
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ 5G (FAQ)
5G คืออะไร?
5G คือเครือข่ายโทรศัพท์มือถือยุคที่ 5 (Fifth Generation) ซึ่งเป็นเทคโนโลยีสืบต่อจาก 4G LTE ที่เราใช้กันในปัจจุบัน 5G ถูกออกแบบมาเพื่อให้ความเร็วอินเทอร์เน็ตที่สูงขึ้น (ระดับกิกะบิตต่อวินาที), ความหน่วงต่ำลง (Latency เพียงไม่กี่มิลลิวินาที) และรองรับการเชื่อมต่ออุปกรณ์จำนวนมากพร้อมกันได้มีประสิทธิภาพ จุดมุ่งหมายของ 5G คือรองรับบริการและประสบการณ์ใหม่ๆ ที่ 4G ทำได้ไม่ดีพอ เช่น การสตรีมวิดีโอ 4K/8K, การใช้งาน AR/VR แบบเรียลไทม์, รถยนต์ไร้คนขับสื่อสารกับโครงข่าย, หรือการควบคุมเครื่องจักร/หุ่นยนต์ทางไกลแบบทันที เป็นต้น กล่าวโดยสรุป 5G คือก้าวกระโดดครั้งใหญ่ของเทคโนโลยีเครือข่ายไร้สาย ที่จะยกระดับการสื่อสารและไลฟ์สไตล์ดิจิทัลของผู้คน
4G กับ 5G ต่างกันอย่างไร?
4G และ 5G แตกต่างกันในหลายด้าน โดย 5G เหนือกว่า 4G อย่างชัดเจนในเรื่องความเร็วและความหน่วง ตัวอย่างเช่น 4G LTE มีความเร็วดาวน์โหลดเฉลี่ยหลักสิบ Mbps ในขณะที่ 5G สามารถทำได้หลายร้อย Mbps ถึงระดับเป็น Gigabit ในพื้นที่ที่สัญญาณแรง ความหน่วง (Latency) ของ 4G อยู่ราวๆ 20-30 ms แต่ 5G ลดลงเหลือไม่ถึง 10 ms ทำให้ตอบสนองทันใจกว่า นอกจากนี้ 5G ยังรองรับอุปกรณ์ต่อ cell site ได้มากกว่ามาก (เป็นหมื่นอุปกรณ์เทียบกับ 4G ระดับพัน) จึงเหมาะกับยุค IoT ที่มีอุปกรณ์เชื่อมต่อเต็มไปหมด อย่างไรก็ดี 4G ยังมีข้อดีคือครอบคลุมพื้นที่กว้างกว่าในปัจจุบัน (เพราะสถานีฐานมีอยู่ทั่วแล้ว) และอุปกรณ์ส่วนใหญ่ก็รองรับ 4G อยู่แล้ว ส่วน 5G กำลังอยู่ในช่วงขยายโครงข่าย ดังนั้นหากคุณอยู่ในพื้นที่ที่มี 5G และมีอุปกรณ์รองรับ คุณจะได้ประโยชน์จาก 5G ที่เร็วกว่าชัดเจน แต่ถ้ายังไม่มี 5G หรืออุปกรณ์ไม่รองรับ 4G ก็ยังคงใช้งานได้ดีเพียงพอ
มือถือ 4G เครื่องเก่า ใช้ 5G ได้ไหม?
ไม่สามารถใช้งาน 5G ได้ หากโทรศัพท์มือถือเครื่องนั้นไม่ได้รองรับ 5G แต่กำเนิด โทรศัพท์ 4G รุ่นเก่าที่ไม่มีชิปโมเด็ม 5G ภายใน จะเชื่อมต่อได้สูงสุดแค่เครือข่าย 4G LTE เท่านั้น ต่อให้คุณใส่ซิมที่มีแพ็กเกจ 5G ก็จะไม่ขึ้นสัญญาณ 5G ดังนั้นหากต้องการใช้งาน 5G คุณจำเป็นต้องเปลี่ยนไปใช้สมาร์ทโฟนรุ่นที่รองรับ 5G โดยปัจจุบันมีให้เลือกมากมายหลายระดับราคา
ต้องเปลี่ยนซิมการ์ดใหม่ไหม ถ้าจะใช้ 5G?
โดยทั่วไป หากซิมการ์ดที่คุณใช้อยู่เป็นซิมรุ่นใหม่ (USIM) ที่รองรับ 4G LTE อยู่แล้ว ก็มักจะรองรับ 5G ด้วยโดยไม่ต้องเปลี่ยนซิมใหม่ เพียงแค่สมัครแพ็กเกจหรือโปรเสริมที่เปิดใช้บริการ 5G ก็พอ แต่ถ้าคุณยังใช้ซิมรุ่นเก่ามากๆ (เช่น ซิมยุค 3G ดั้งเดิม) อาจจำเป็นต้องไปเปลี่ยนซิมการ์ดกับผู้ให้บริการเป็นรุ่นที่รองรับ 5G ปัจจุบันค่ายมือถือในไทย เช่น AIS, TrueMove H, DTAC ต่างก็มีนโยบายให้เปลี่ยนซิม 5G ได้ฟรีสำหรับลูกค้าเดิมที่ซิมเก่าไม่รองรับ ดังนั้นตรวจสอบกับผู้ให้บริการของคุณว่า SIM ปัจจุบันรองรับ 5G หรือไม่ หากไม่รองรับก็ควรเปลี่ยนเพื่อให้ใช้งานได้เต็มประสิทธิภาพ
iPhone 11 รองรับ 5G ไหม?
ไม่รองรับ iPhone 11 (รวมถึง iPhone 11 Pro / 11 Pro Max) เป็นรุ่นที่ออกในปี 2019 ซึ่งยังไม่รองรับเครือข่าย 5G – สมาร์ทโฟน Apple รุ่นแรกที่รองรับ 5G คือ iPhone 12 series ที่เปิดตัวปี 2020 ดังนั้นหากคุณใช้ iPhone 11 จะไม่สามารถเชื่อมต่อ 5G ได้ (ใช้งานได้ถึงแค่ 4G LTE) หากต้องการใช้ 5G กับ iPhone คุณต้องอัปเกรดเป็นรุ่น iPhone 12, 13, 14 หรือรุ่นใหม่กว่านั้น นอกจากนี้ iPhone SE (รุ่นปี 2022) ก็รองรับ 5G เช่นกัน
เราเตอร์ใส่ซิม 5G ยี่ห้อไหนดี?
การเลือกซื้อ เราเตอร์ใส่ซิม 5G ควรพิจารณาจากงบประมาณและการใช้งานที่ต้องการ รุ่นแนะนำในตลาดปัจจุบัน (ปี 2024/2025) เช่น D-Link DWR-X2000 (ราคาประหยัด รองรับ Wi-Fi6, ใช้งานในบ้านได้ดี), Tenda 5G03 (ความเร็ว 5G สูงสุด ~4.6 Gbps, เสาแข็งแรง), TP-Link Archer NX200 5G (ตั้งค่าง่ายผ่านแอป, เหมาะกับคอนโด/บ้านขนาดเล็ก), TP-Link Deco X50-5G (เป็น Mesh WiFi ในตัว, กระจายสัญญาณได้ทั่วบ้าน), และ ZTE MC888 Pro (รุ่นท็อป, รองรับอุปกรณ์มากกว่า 100 ชิ้น, ความเร็ว 5G สูงสุด ~5.4 Gbps). ทั้งหมดนี้รองรับการใส่ซิม 5G จากผู้ให้บริการในไทยได้ เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตมือถือแล้วปล่อย Wi-Fi ให้หลายอุปกรณ์ใช้งานพร้อมกันได้อย่างสะดวก ก่อนซื้อควรเช็คด้วยว่ารุ่นนั้นๆ รองรับย่านความถี่ 5G ของค่ายที่คุณใช้อยู่หรือไม่ (เช่น 700MHz, 2600MHz) เพื่อการใช้งานที่มีประสิทธิภาพ
โทรศัพท์ realme / Vivo / OPPO / Samsung / Huawei รุ่นไหนรองรับ 5G บ้าง?
ปัจจุบันแทบทุกรุ่นใหม่ของแบรนด์สมาร์ทโฟนหลักๆ รองรับ 5G แทบทั้งนั้น สำหรับตัวอย่างรุ่นเด่นของแต่ละยี่ห้อ: realme มีรุ่นเช่น realme 8 5G, 9 Pro 5G, 10 Pro 5G, GT Neo 3 5G, 11 Pro+ 5G เป็นต้น; Vivo มีรุ่น V20 Pro 5G, V21/V23 5G, X50 Pro 5G, X70 5G, Y72 5G ฯลฯ; OPPO มี Reno5 5G, Reno6 5G, Reno8 5G, Find X3 Pro 5G, Find X5 5G, A74 5G เป็นต้น; Samsung มีตั้งแต่รุ่นเรือธง (Galaxy S21/S22/S23, Note20 5G, Z Flip/Fold) จนถึงรุ่นกลาง/เริ่มต้น (A14 5G, A34 5G, M33 5G ฯลฯ) จำนวนมาก; ส่วน Huawei รุ่นที่รองรับ 5G ส่วนใหญ่คือรุ่นก่อนปี 2021 เช่น P40/P40 Pro, Mate 30 Pro, Mate 40 Pro, Nova 7 5G (รุ่นใหม่บางตัวหลังโดนแบนชิป 5G อาจรองรับแค่ 4G). ดังนั้นหากคุณซื้อสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ในช่วงปีสองปีนี้ ไม่ว่าจะยี่ห้อใด มีโอกาสสูงมากที่มันจะรองรับ 5G (ยกเว้นบางรุ่นราคาถูกมากๆ) คำแนะนำคือให้ดูสเปคบนกล่องหรือเว็บไซต์ทางการของรุ่นนั้น หากเห็นสัญลักษณ์ 5G หรือระบุว่า “รองรับเครือข่าย 5G” ก็มั่นใจได้ว่าใช้ 5G ได้แน่นอน
6G จะมาเมื่อไหร่?
ณ ตอนที่เขียน (ปี 2025) เครือข่าย 6G ยังอยู่ในขั้นตอนวิจัยและพัฒนา คาดการณ์เบื้องต้นคือ 6G น่าจะเริ่มเปิดให้บริการเชิงพาณิชย์ได้ราวปี 2030 (อีกประมาณ 5-7 ปีข้างหน้า) โดยช่วงเวลาราวปี 2026-2028 น่าจะเห็นมาตรฐาน 6G เริ่มเป็นรูปเป็นร่างและมีการทดสอบภาคสนามในบางประเทศ สำหรับประเทศไทยเองก็มีหน่วยงานที่เริ่มศึกษาวิจัย 6G แล้วเช่นกัน แต่กว่าจะพร้อมใช้งานจริงคงต้องรอให้ 5G ถูกใช้งานอย่างเต็มที่ทั่วประเทศก่อน ปัจจัยสำคัญคือเทคโนโลยีใหม่ๆ อย่างความถี่ระดับเทราเฮิร์ตซ์และอุปกรณ์รับส่งที่จะรองรับ 6G ซึ่งยังต้องพัฒนาอีกมาก ดังนั้นโดยสรุป 6G น่าจะมาแน่นอนแต่ยังอีกหลายปี และในระหว่างนี้ 5G จะยังคงเป็นพระเอกของเครือข่ายไร้สายต่อไป

ชื่อของฉันคือ นิรุตติ์ แสนไชย
ฉันเป็นผู้เชี่ยวชาญในด้านโทรคมนาคม ฉันเคยทำงานในบริษัททั้งหมดในประเทศไทย: AIS (เครื่องหมายการค้า 1-2-call), DTAC (เครื่องหมายการค้า Happy) และ True Mobile
ฉันหวังว่าเว็บไซต์ของฉันจะช่วยคุณได้และจะมีประโยชน์มาก