บัตร Rabbit (บัตรแรบบิท) คือบัตรสมาร์ทการ์ดประเภทเติมเงินที่ใช้เป็นตั๋วโดยสารและกระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ในใบเดียว เปิดตัวครั้งแรกโดยระบบรถไฟฟ้า BTS เพื่ออำนวยความสะดวกในการเดินทางและการใช้จ่ายประจำวัน ผู้ถือบัตรสามารถใช้ บัตร Rabbit แตะเพื่อจ่ายค่าโดยสารรถไฟฟ้า BTS และเครือข่ายขนส่งอื่น ๆ ตลอดจนชำระค่าสินค้า/บริการกับร้านค้าพันธมิตร แทนการใช้เงินสดได้อย่างสะดวกรวดเร็ว} นอกจากนี้ บัตร Rabbit ยังรองรับการเติมเที่ยวโดยสาร (ตั๋วเดือน) และการสะสมคะแนนผ่านโปรแกรม Rabbit Rewards เพื่อรับสิทธิพิเศษมากมาย ทำให้การเดินทางและการจับจ่ายในชีวิตประจำวันง่ายขึ้นมาก
บทความนี้จะอธิบายทุกเรื่องที่คุณควรรู้เกี่ยวกับ การใช้บัตร Rabbit ไม่ว่าจะเป็น บัตร Rabbit ซื้อที่ไหน, วิธีใช้กับรถไฟฟ้า BTS/MRT และระบบขนส่งอื่น ๆ, ประเภทของบัตร (เช่น Rabbit Student, Rabbit Senior, บัตรร่วมแบรนด์อย่าง Rabbit LINE Pay, AEON เป็นต้น), วิธีเติมเงิน, การใช้บัตร Rabbit จ่ายค่าสินค้า, การจัดการเมื่อบัตรหายหรือหมดอายุ รวมถึงตอบคำถามที่พบบ่อยต่าง ๆ เพื่อให้คุณใช้งานบัตรแรบบิทได้อย่างเต็มประสิทธิภาพที่สุด
บัตร Rabbit คืออะไร?
บัตรแรบบิท คือระบบบัตรโดยสารและชำระเงินอิเล็กทรอนิกส์แบบเติมเงิน (Stored-value card) ซึ่งพัฒนาโดยบริษัท Bangkok Smartcard System (เครือ BTS) เปิดตัวเมื่อปี 2555 ถือเป็นระบบตั๋วร่วมรายแรกของประเทศไทยที่ใช้ขึ้นรถไฟฟ้า BTS และขนส่งมวลชนอื่น ๆ รวมถึงใช้ชำระค่าสินค้า/บริการต่าง ๆ ได้ในบัตรเดียว ตัวบัตรมีชิป RFID ในตัว ทำให้ผู้ใช้สามารถ “แตะ” บัตรเพื่อชำระค่าโดยสารหรือค่าสินค้าได้ทันที โดยไม่ต้องใช้เหรียญหรือธนบัตร
บัตร Rabbit มักถูกเรียกติดปากว่า “บัตร BTS” เนื่องจากใช้เป็นตั๋วรถไฟฟ้า BTS เป็นหลัก แต่จริง ๆ แล้วบัตร Rabbit มีความสามารถมากกว่านั้น เช่น ใช้ขึ้นรถโดยสารด่วนพิเศษ BRT, รถเมล์บางสาย, เรือโดยสารบางเส้นทาง รวมถึงใช้ซื้อสินค้าตามร้านค้าชั้นนำที่ร่วมรายการ เป็นต้น (รายละเอียดอยู่ในส่วนถัดไป) บัตรแรบบิทไม่มีค่าธรรมเนียมรายปีหรือค่ามัดจำรายเดือนใด ๆ ผู้ถือบัตรจะเสียเพียงค่าธรรมเนียมออกบัตรครั้งแรกและเติมเงินตามต้องการ จากนั้นก็สามารถใช้งานได้ยาวนานถึง 7 ปีนับจากวันที่ออกบัตร ก่อนที่ตัวบัตรจะหมดอายุ
สรุปแล้ว บัตร Rabbit คือ “บัตรเติมเงินสารพัดประโยชน์” ที่ช่วยให้การเดินทางด้วยขนส่งสาธารณะและการใช้จ่ายในชีวิตประจำวันของคุณสะดวกสบายขึ้น ประหยัดเวลายิ่งขึ้น และมักมีโปรโมชั่นส่วนลดหรือคะแนนสะสมพิเศษสำหรับผู้ใช้บัตรอีกด้วย
ประเภทของบัตร Rabbit และความแตกต่าง
บัตรแรบบิทมีหลายประเภทเพื่อรองรับกลุ่มผู้ใช้ที่แตกต่างกัน โดยหลัก ๆ สามารถแบ่งเป็น 3 ประเภทมาตรฐาน ดังนี้:
ประเภทบัตร | คุณสมบัติ / เงื่อนไข | สิทธิพิเศษ |
---|---|---|
Rabbit Adult (บุคคลทั่วไป) | อายุ 23 – 59 ปี | จ่ายค่าโดยสาร BTS ตามปกติ |
Rabbit Student (นักเรียน/นักศึกษา) | อายุไม่เกิน 23 ปีบริบูรณ์ และกำลังศึกษาอยู่แสดงบัตรนักเรียน/นิสิตตอนซื้อ) | ค่าโดยสาร BTS ราคาพิเศษ (ลดจากบุคคลทั่วไป เช่น ส่วนลด ~5 บาทบนสายต่อขยาย หรือประมาณ 20-25% ต่อเที่ยว) |
Rabbit Senior (ผู้สูงอายุ) | อายุ 60 ปีขึ้นไป (เฉพาะผู้ถือสัญชาติไทย) | ส่วนลดค่าโดยสาร BTS 50% จากราคาปกติทุกเที่ยว |
บัตรทั้ง 3 ประเภทนี้จะมีหน้าตาเหมือนกัน (เลือกดีไซน์ลวดลายได้หลากหลายตามที่บริษัทออกแบบ) แต่มีการบันทึกประเภทสิทธิไว้ในชิปของบัตรแต่ละใบ ดังนั้น ควรใช้บัตรให้ตรงตามสิทธิของผู้ถือ – หากนำบัตรประเภทนักเรียนไปให้ผู้ใหญ่ใช้ หรือใช้บัตรผู้สูงอายุโดยไม่มีสิทธิ อาจถูกพนักงานยึดบัตรและถูกตัดสิทธิส่วนลดได้ตามกฎของ BTS (เคยมีกรณีเตือนว่าการใช้บัตรผิดประเภทเสี่ยงถูกริบบัตร)นอกจากนี้ เด็กเล็กที่มีความสูงต่ำกว่า 90 ซม. ขึ้นรถไฟฟ้า BTS ได้ฟรีโดยไม่ต้องใช้บัตรใด ๆ
บัตรแรบบิทร่วมแบรนด์: นอกจากบัตร Rabbit แบบมาตรฐานที่ออกโดย BTS แล้ว ยังมีบัตรแรบบิทที่ผนวกรวมมากับบัตรประเภทอื่น ๆ จากสถาบันการเงินหรือองค์กรต่าง ๆ เรียกว่า *Co-branded Rabbit Card* เช่น บัตรเครดิต/บัตรเดบิตธนาคารที่ฝังชิป Rabbit ในตัว (ตัวอย่าง: *บัตรเครดิต AEON Rabbit Platinum*, *บัตรเดบิต Bangkok Bank Be1st Rabbit*) บัตรเหล่านี้สามารถใช้แทนบัตร Rabbit ปกติในการแตะขึ้น BTS และใช้จ่ายได้เหมือนกัน แต่เพิ่มความสะดวกคือรวมร่างกับบัตรธนาคาร ทำให้พกใบเดียวใช้งานได้สองอย่าง ทั้งยังอาจมีฟีเจอร์พิเศษ เช่น บริการ Auto Top-up (เติมเงินอัตโนมัติจากบัญชีธนาคารเมื่อมูลค่าในบัตรต่ำกว่าที่กำหนด) หรือเครดิตเงินคืนเมื่อใช้จ่ายผ่าน Rabbit (เช่น AEON Rabbit ให้เครดิตเงินคืน 5% เมื่อเติมเงินบัตรแรบบิทผ่านระบบ Auto Top-up) อย่างไรก็ตาม การขอออกหรือเงื่อนไขต่าง ๆ ของบัตรร่วมแบรนด์จะขึ้นอยู่กับผู้ออกบัตรนั้น ๆ (เช่น ธนาคาร) ผู้สนใจสามารถสอบถามจากผู้ให้บริการที่เกี่ยวข้องได้โดยตรง
บัตรแรบบิทพิเศษและของสะสม: BTS มักออก *“บัตรแรบบิทดีไซน์พิเศษ”* เป็นลิมิเต็ดอิดิชันร่วมกับแคมเปญต่าง ๆ (เช่น ลายการ์ตูนหรือภาพยนตร์ดัง) ซึ่งตัวบัตรทำงานเหมือนบัตร Rabbit ปกติทุกประการ เพียงแต่มีลวดลายสะสมที่สวยงามและผลิตจำกัด เหมาะกับนักสะสมหรือผู้ที่ต้องการบัตรลายไม่ซ้ำใคร ราคาการออกบัตรอาจสูงกว่าปกติขึ้นอยู่กับแคมเปญ แต่การใช้งานและอายุบัตรยังคง 7 ปีเท่ากัน
Rabbit LINE Pay คืออะไร? ต่างจากบัตร Rabbit ยังไง?
Rabbit LINE Pay (แรบบิท LINE Pay) เป็นบริการกระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ที่เกิดจากความร่วมมือระหว่าง Rabbit กับแอป LINE ซึ่งช่วยเพิ่มความสะดวกในการเติมเงินและจ่ายเงินด้วยบัตร Rabbit ผ่านโทรศัพท์มือถือ ผู้ใช้สามารถผูกบัตรแรบบิทเข้ากับบัญชี LINE Pay (ผ่านเมนู Wallet ในแอป LINE) จากนั้นจะสามารถเติมเงินบัตรหรือซื้อแพ็กเกจเที่ยว BTS ผ่านแอปได้ รวมถึงเลือกให้หักค่าโดยสารจาก e-wallet หรือบัตรเครดิตที่ผูกไว้ใน LINE Pay แทนการหักจากมูลค่าเงินในบัตรก็ได้ โดยข้อดีคือไม่ต้องไปต่อคิวเติมเงินที่สถานีอีกต่อไป
“บัตร Rabbit มีบัตรเดียวนี่แหละครับ เพียงแต่บริการ Rabbit LINE Pay อำนวยความสะดวกเพิ่มในส่วนการเติมเงินหรือผูกบัญชีหรือบัตร เพื่อจ่ายค่าโดยสารหรือบริการโดยไม่ต้องเติมเงิน” – ความเห็นจากผู้ใช้งาน Pantip สรุปความแตกต่างระหว่างบัตร Rabbit ปกติกับ Rabbit LINE Pay ไว้อย่างเข้าใจง่าย
สรุปคือ Rabbit LINE Pay ไม่ใช่บัตรคนละใบ แต่เป็นการเพิ่มฟังก์ชัน *“เชื่อมบัตรแรบบิทกับแอปมือถือ”* เพื่อให้เติมเงินออนไลน์และดูประวัติการใช้บัตรได้สะดวกขึ้น เมื่อผูกบัตรแล้ว ในแอป LINE คุณจะสามารถตรวจสอบยอดคงเหลือ/เที่ยวที่เหลือของบัตร, เติมเงินเข้าบัตรผ่านบัตรเครดิต/บัญชีธนาคาร, ซื้อเหรียญโดยสาร BTS ออนไลน์ ตลอดจนดูรายการใช้งานย้อนหลังได้ ซึ่งทั้งหมดนี้ไม่สามารถทำได้โดยบัตร Rabbit เพียงอย่างเดียว (ต้องอาศัยแอปหรือระบบ Rabbit LINE Pay ช่วย) ทั้งนี้ เงินในบัตร Rabbit กับเงินใน Rabbit LINE Pay Wallet เป็นคนละกระเป๋ากัน – หากคุณเติมเงินเข้าบัตรตามปกติ เงินจะอยู่ในชิปบัตร (กระเป๋า Rabbit Card) ใช้ได้กับเครื่องอ่านบัตรทั่วไป แต่หากคุณเติมเงินเข้า Rabbit LINE Pay (กระเป๋า e-wallet ในแอป) เงินนั้นจะใช้ได้เมื่อทำรายการผ่านระบบออนไลน์ที่รองรับเท่านั้น การใช้งานจริงจึงต้องเลือกว่าจะใช้กระเป๋าไหนในการจ่ายค่าโดยสาร/สินค้า
ปัจจุบัน Rabbit LINE Pay ได้รวมเข้าเป็นส่วนหนึ่งของบริการ LINE Wallet บนแอป LINE และมีแอปใหม่ชื่อ “My Rabbit” ที่พัฒนาขึ้นโดยทีม Rabbit เพื่อให้ผู้ใช้จัดการบัตรแรบบิทของตนได้สะดวก (รายละเอียดเกี่ยวกับแอป My Rabbit มีพูดถึงในหัวข้อการเติมเงินด้านล่าง) หากคุณมีบัตรแรบบิทใบเดิม ก็สามารถนำไปลงทะเบียนเชื่อมกับ LINE Pay หรือ My Rabbit เพื่อใช้งานฟีเจอร์เหล่านี้เพิ่มเติมได้เช่นกัน ไม่จำเป็นต้องซื้อบัตรใหม่ เว้นแต่กรณีบัตรเก่าของคุณยังไม่เคยลงทะเบียนใด ๆ อาจต้องติดต่อเจ้าหน้าที่ครั้งแรกเพื่อเปิดใช้งานร่วมกับระบบออนไลน์
บัตร Rabbit หาซื้อได้ที่ไหน? (ราคาเท่าไร)
การซื้อหรือ ออกบัตร Rabbit สามารถทำได้ง่าย ๆ โดยไปที่ห้องจำหน่ายตั๋วโดยสารรถไฟฟ้า BTS ทุกสถานี แจ้งเจ้าหน้าที่ว่าต้องการออกบัตร Rabbit ใหม่ เจ้าหน้าที่จะดำเนินการออกบัตรให้ภายในไม่กี่นาที โดยมีค่าใช้จ่ายออกบัตร 200 บาทต่อใบ ซึ่งราคานี้รวมค่าธรรมเนียมออกบัตร 100 บาท + มูลค่าเงินเริ่มต้นในบัตร 100 บาท (พร้อมใช้งานทันที) นั่นหมายความว่าคุณจ่าย 200 บาท จะได้บัตรแรบบิทมา 1 ใบที่มีเงินในบัตรอยู่แล้ว 100 บาทพร้อมสำหรับใช้จ่าย/ขึ้นรถไฟฟ้า
บัตร Rabbit แบบบุคคลทั่วไป (Adult) ทุกคนสามารถซื้อได้เลยโดยไม่ต้องใช้เอกสารอะไร แต่ถ้าต้องการออกบัตรประเภทนักเรียน/นักศึกษา หรือผู้สูงอายุ จะต้องเตรียมหลักฐานดังนี้:
- บัตรนักเรียน/นิสิตหรือหลักฐานการศึกษาปัจจุบัน – สำหรับออกบัตร Rabbit Student (อายุไม่เกิน 23 ปี)
- บัตรประชาชนตัวจริง – สำหรับออกบัตร Rabbit Senior (ผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป เฉพาะสัญชาติไทย)
ผู้ที่มีสิทธิ์สามารถแจ้งขอออกบัตรประเภทดังกล่าวที่ห้องตั๋ว BTS ได้เช่นกัน (บัตรนักเรียนจะเป็นสีเขียว, บัตรผู้สูงอายุสีม่วง เพื่อให้สังเกตง่าย) ทั้งนี้ ในหนึ่งบุคคลสามารถมีบัตร Rabbit ได้หลายใบไม่จำกัดจำนวน หากต้องการแยกการใช้งาน เช่น มีบัตรหลักใช้งานประจำ และออกเพิ่มอีกใบสำหรับเก็บสะสมลายพิเศษ หรือออกให้สมาชิกครอบครัวคนอื่นใช้งานเป็นชื่อของเราเองก็ทำได้ (อย่างไรก็ตาม คะแนน Rabbit Rewards และสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ จะแยกตามหมายเลขบัตรแต่ละใบ ไม่สามารถรวมกันได้ เว้นแต่จะโอนคะแนนผ่านระบบที่ Rabbit กำหนด)
นอกจากสถานี BTS แล้ว ในเขตกรุงเทพฯ ปริมณฑลยังมีจุดออกบัตรแรบบิทตามสถานีขนส่งอื่นที่ใช้ระบบร่วมกับ BTS เช่น สถานีรถไฟฟ้าสายสีชมพู (แคราย–มีนบุรี) และสายสีเหลือง (ลาดพร้าว–สำโรง) ซึ่งอยู่ภายใต้การบริหารของเครือ BTS เช่นกัน โดยสามารถออกบัตร Rabbit ในรูปแบบเดียวกัน (ราคา 200 บาท) ที่ห้องออกบัตรโดยสารของสายดังกล่าวได้เช่นเดียวกัน ยิ่งไปกว่านั้น ในบางช่วงอาจมีการจัดบูธออกบัตรตามสถานที่ต่าง ๆ หรือโปรโมชั่นการสั่งซื้อบัตรออนไลน์ผ่านเว็บไซต์ Rabbit ซึ่งหากมีโครงการพิเศษเหล่านี้ ทาง BTS/Rabbit จะแจ้งข่าวสารผ่านทางเว็บไซต์และโซเชียลมีเดีย
อายุการใช้งานบัตร: ดังที่ได้กล่าวไป บัตร Rabbit มีอายุใช้งาน 7 ปีนับจากวันที่ผลิตบัตร (วันที่ออกบัตรระบุไว้ในใบเสร็จหรือด้านหลังบัตรบางรุ่น) เมื่อครบ 7 ปีบัตรจะหมดอายุและไม่สามารถเติมเงินหรือเติมเที่ยวได้อีก อย่างไรก็ดี หากบัตรหมดอายุขณะที่ยังมีมูลค่าเงินหรือเที่ยวโดยสารเหลืออยู่ คุณยังคงใช้เที่ยว/เงินที่เหลือในบัตรนั้นจนหมดได้ตามปกติ เพียงแต่จะเติมเพิ่มไม่ได้ เมื่อใช้หมดแล้วหรือหากต้องการรวมยอดเงินที่เหลือไปยังบัตรใหม่ คุณสามารถติดต่อที่ห้องตั๋ว BTS เพื่อขอโอนถ่ายมูลค่าที่เหลือจากบัตรใบเก่า (หรือขอคืนเงินคงเหลือ) และออกบัตรใหม่ทดแทนได้ (มีค่าธรรมเนียมออกบัตรใหม่ 100 บาท)
หมายเหตุ: ปัจจุบันค่าธรรมเนียมการออกบัตรใหม่กรณีบัตรหมดอายุหรือชำรุด อยู่ที่ 100 บาทต่อใบ (ไม่มีการเก็บค่ามัดจำบัตรแล้ว) และอาจมีค่าธรรมเนียมดำเนินการเพิ่มเติมบางกรณี ทั้งนี้เงื่อนไขอาจเปลี่ยนแปลงได้ ควรสอบถามเจ้าหน้าที่ ณ จุดให้บริการอีกครั้ง
การใช้บัตร Rabbit กับ BTS และระบบขนส่งมวลชน
บัตร Rabbit ใช้ขึ้น BTS ยังไง? – การใช้งานบัตร Rabbit กับรถไฟฟ้า BTS นั้นง่ายมาก เพียงเติมเงินหรือเที่ยวลงในบัตรให้เพียงพอ จากนั้นนำบัตรแตะที่เครื่องอ่านบริเวณประตูอัตโนมัติทั้งตอนเข้าและออกสถานี ระบบจะหักค่าโดยสารตามระยะทางหรือหักจำนวนเที่ยวที่ใช้ไปโดยอัตโนมัติ หนึ่งใบสามารถใช้ผ่านประตูให้ผู้โดยสารผ่านได้ครั้งละ 1 คนเท่านั้น (ไม่สามารถใช้บัตรใบเดียวแตะเข้าพร้อมกันหลายคนได้) เมื่อแตะบัตรตอนออกสถานี อย่าลืมหยิบบัตรคืน เพราะเป็นบัตรแบบนำกลับมาใช้ใหม่ได้เรื่อย ๆ ไม่ถูกเครื่องเก็บไปเหมือนตั๋วเที่ยวเดียว
บัตร Rabbit ใช้ขึ้น MRT ได้ไหม? – ปัจจุบัน บัตร Rabbit ยังไม่สามารถ ใช้กับรถไฟฟ้า MRT (สายสีน้ำเงินและสายสีม่วง) เนื่องจากระบบตั๋วของ MRT เป็นคนละแบบกัน โดย MRT จะมีบัตรโดยสารเฉพาะของตนเองหรือใช้บัตรเครดิตแบบ EMV แทน ผู้โดยสารที่เดินทางด้วย MRT จึงต้องซื้อตั๋วหรือบัตร MRT แยกต่างหาก ไม่สามารถนำบัตร Rabbit ของ BTS ไปแตะเข้าระบบ MRT ได้
“ไม่ได้ครับ บัตร Rabbit ใช้ได้แค่ BTS และ BRT เท่านั้นครับ” – ความเห็นจากผู้ใช้งาน Pantip ยืนยันว่าบัตรแรบบิทยังใช้กับ MRT ไม่ได้
อย่างไรก็ตาม ในอนาคตอาจมีการรวมระบบตั๋วร่วมแบบสมบูรณ์ทั่วกรุงเทพ (แนวคิดบัตรแมงมุม) แต่ขณะนี้บัตร Rabbit ยังจำกัดการใช้งานในเครือข่ายที่ BTS ดูแลและขนส่งพันธมิตรบางส่วนเท่านั้น
ระบบขนส่งสาธารณะที่รับบัตร Rabbit – นอกจากรถไฟฟ้า BTS สายหลัก (สายสุขุมวิทและสายสีลม) แล้ว บัตร Rabbit ยังสามารถใช้กับระบบ/สายต่อขยายอื่น ๆ ดังต่อไปนี้:
- รถไฟฟ้าสายสีทอง (BTS สายสีทอง): รถไฟฟ้าระยะสั้นเชื่อมต่อ BTS กรุงธนบุรี – ICONSIAM ใช้บัตร Rabbit แตะผ่านได้
- รถไฟฟ้าสายสีชมพูและสายสีเหลือง: (เปิดให้บริการปี 2566) ทั้งสองสายเป็นโมโนเรลที่บริหารโดยกลุ่ม BTS เช่นกัน จึงออกแบบให้ใช้บัตร Rabbit ได้ในการแตะเข้าระบบ (หรือจะใช้บัตร EMV แตะก็ได้) ผู้โดยสารที่มีบัตร Rabbit อยู่แล้วสามารถเติมเงินและใช้ขึ้นสายสีชมพู/เหลืองได้เลย
- รถโดยสารด่วนพิเศษ BRT: บัตร Rabbit ใช้จ่ายค่าโดยสารรถ BRT สายสาทร-ราชพฤกษ์ (ผ่านช่องทางพิเศษ) ได้ โดยคิดค่าโดยสาร 15 บาทตลอดสาย (นักเรียน/นักศึกษาและผู้สูงอายุมีส่วนลดพิเศษสำหรับ BRT ด้วย)
- รถเมล์และรถโดยสารอื่น ๆ: ขณะนี้มีรถโดยสารประจำทางบางสายในกรุงเทพฯ ที่เข้าร่วม “โครงการสมาร์ทบัส” รองรับการแตะจ่ายด้วยบัตร Rabbit ได้แก่ สาย 104, 147, 147ก (ฝั่งธนบุรี) และ ไมโครบัสสาย Y70E (หมอชิต–ศาลายา) นอกจากนี้ที่จังหวัดภูเก็ตก็มี Phuket Smart Bus ที่รองรับบัตร Rabbit เช่นกัน (ในอนาคตหากขสมก. อัพเกรดระบบ อาจได้เห็นบัตร Rabbit ใช้กับรถเมล์ ขสมก. ทั่วไปด้วย)
- เรือโดยสารและเรือข้ามฟาก: บัตร Rabbit สามารถใช้แทนตั๋วเรือบนเส้นทางที่ร่วมโครงการ เช่น เรือด่วนเจ้าพระยา (ธงส้ม, ธงเหลือง, ธงเขียวเหลือง, ธงแดง), เรือโดยสารคลองภาษีเจริญ, เรือข้ามฟากท่าพระจันทร์–ท่ามหาราช และ เรือท่องเที่ยวเจ้าพระยา (ธงฟ้า) เป็นต้น ทำให้การขึ้นเรือด่วน/เรือข้ามฟากสะดวก ไม่ต้องเตรียมเงินสด
จากรายการจะเห็นว่าเครือข่ายที่บัตร Rabbit รองรับนั้นค่อนข้างครอบคลุมการเดินทางรอบกรุงเทพฯ ทั้งทางบกและทางน้ำเลยทีเดียว (ยกเว้นรถไฟฟ้า MRT และรถไฟฟ้าสาย Airport Rail Link ที่ยังไม่รวมอยู่) ซึ่งผู้ใช้สามารถพกบัตรใบเดียวแล้วเชื่อมต่อการเดินทางหลายรูปแบบได้อย่างไร้รอยต่อ
การตรวจสอบเที่ยว/มูลค่าในบัตรขณะเดินทาง: หากคุณต้องการตรวจสอบว่าในบัตร Rabbit เหลือเงินหรือจำนวนเที่ยวเท่าไร สามารถทำได้โดยการแตะบัตรที่เครื่องตรวจสอบยอด (มีติดตั้งที่สถานี BTS หลายแห่ง) หรือสอบถามพนักงานห้องตั๋ว นอกจากนี้ หากคุณลงทะเบียนบัตรกับแอป My Rabbit หรือ Rabbit LINE Pay แล้ว คุณจะสามารถตรวจสอบยอดคงเหลือและประวัติการเดินทางผ่านแอปบนมือถือได้โดยสะดวกอีกด้วย
ใช้บัตร Rabbit จ่ายค่าสินค้า/บริการอะไรได้บ้าง?
นอกเหนือจากค่าโดยสาร บัตร Rabbit ยังสามารถใช้แทนเงินสดเพื่อชำระค่าสินค้าและบริการกับร้านค้าพันธมิตรหลากหลายประเภททั่วกรุงเทพฯ โดยมีเครือข่ายร้านค้ากว่า 200 แห่งที่รับชำระผ่าน Rabbit ตัวอย่างหมวดหมู่และร้านค้าที่รองรับ เช่น:
- ร้านอาหารฟาสต์ฟู้ดและเครื่องดื่ม: เช่น McDonald’s, Chester’s Grill (เชสเตอร์), Starbucks (สตาร์บัคส์), Café Amazon, KFC, KOI Thé, ชาตรามือ เป็นต้น
- ร้านขนมและไอศกรีม: เช่น Dairy Queen, Mister Donut (มิสเตอร์โดนัท), After You, Swensen’s ฯลฯ
- ซูเปอร์มาร์เก็ตและร้านสะดวกซื้อ: เช่น Home Fresh Mart (โฮมเฟรชมาร์ท) ในเครือเดอะมอลล์, Tops Market (บางสาขาที่มีเครื่องรับ Rabbit), FamilyMart (บางสาขา) เป็นต้น (หมายเหตุ: ปัจจุบัน ร้าน 7-Eleven ยังไม่รองรับ การจ่ายผ่าน Rabbit โดยตรง)
- ร้านค้าปลีกและไลฟ์สไตล์: เช่น Boots (ร้านขายยาและสุขภาพ), Daiso (ไดโซะ), ร้านหนังสือ SE-ED, ร้านเครื่องเขียน B2S, ร้านเครื่องสำอาง Innisfree (อินนิสฟรี), MUJI ฯลฯ
- โรงภาพยนตร์และสวนสนุก: เช่น โรงหนัง SF Cinema, สวนสนุก Siam Amazing Park (สวนสยาม) เป็นต้น
ในการใช้บัตร Rabbit ชำระค่าสินค้า เพียงมองหาเครื่องหมาย “Rabbit Card Accepted” หรือสัญลักษณ์รูปกระต่ายที่จุดชำระเงินของร้านค้า เมื่อพนักงานแจ้งยอดให้คุณก็แค่ยื่นบัตรให้พนักงานหรือแตะบัตรที่เครื่องอ่าน (คล้ายกับการแตะบัตรเครดิตแบบ contactless) ระบบจะหักเงินจากมูลค่าในบัตรตามจริง (สามารถหักจ่ายได้เป็นบาทและสตางค์ ไม่มีการปัดเศษขึ้นลง) หากยอดเงินในบัตรไม่พอ บัตรจะถูกปฏิเสธการชำระและต้องเติมเงินก่อนจึงจะใช้งานได้
ถาม: จำเป็นต้องใส่ PIN หรือเซ็นชื่อหรือไม่?
ตอบ: ไม่จำเป็น บัตร Rabbit ใช้การแตะชำระที่เครื่องอ่านอย่างเดียว ไม่ต้องใช้รหัส PIN ใด ๆ และเนื่องจากเป็นระบบพรีเพด (Prepaid) มิใช่บัตรเครดิต จึงไม่มีลายเซ็นเจ้าของบัตร และสามารถโอนถือครองให้ผู้อื่นใช้แทนได้ (อย่างไรก็ตาม แนะนำไม่ให้ผู้อื่นยืมใช้ เพราะหากบัตรหาย เงินในบัตรอาจสูญหายไปด้วยหากไม่ได้ลงทะเบียนบัตร)
Rabbit Rewards (แรบบิทรีวอร์ดส): ทุกครั้งที่คุณใช้บัตร Rabbit จ่ายค่าสินค้าหรือค่าบริการ คุณสามารถสะสมคะแนน Rabbit Rewards เพื่อแลกรับของรางวัลหรือสิทธิพิเศษต่าง ๆ ได้ คะแนนจะสะสมให้อัตโนมัติเมื่อนำบัตรไปรูดหรือแตะ ณ ร้านค้าพันธมิตร (หากคุณได้ลงทะเบียนเข้าร่วมโปรแกรม Rabbit Rewards แล้ว) เช่น ใช้จ่ายทุก ๆ 10 บาท = 1 คะแนน เป็นต้น สะสมครบจำนวนหนึ่งสามารถแลกของรางวัลได้ผ่านทางแอป Rabbit Rewards หรือเว็บไซต์ (ตัวอย่างรางวัล เช่น แลก 200 พอยท์ = ตั๋ว BTS ฟรี 1 เที่ยว สำหรับนักศึกษา) การสะสมคะแนนนี้ครอบคลุมทั้งการใช้ขึ้น BTS/BRT และใช้จ่ายร้านค้าด้วย ดังนั้นยิ่งใช้บัตร Rabbit บ่อย ก็ยิ่งได้แต้มไว้แลกมากขึ้น เป็นอีกหนึ่งกำไรสำหรับผู้ใช้บัตร
ในบางช่วง Rabbit และร้านค้าพันธมิตรจะมีโปรโมชั่นส่งเสริมการขายสำหรับผู้ที่ชำระผ่านบัตร Rabbit โดยเฉพาะ เช่น ส่วนลดสินค้าทันทีเมื่อจ่ายด้วย Rabbit, โปรโมชั่นซื้อ 1 แถม 1 หรือแจกของสมนาคุณสำหรับผู้ใช้ Rabbit เป็นต้น ดังนั้นการใช้จ่ายผ่านบัตร Rabbit นอกจากสะดวกแล้ว ยังอาจได้รับส่วนลดหรือสิทธิพิเศษเพิ่มขึ้นเหนือการจ่ายเงินสดธรรมดาด้วย แนะนำให้ติดตามข่าวสารโปรโมชั่นจากเพจ Rabbit Card หรือ Rabbit Rewards อย่างสม่ำเสมอ
วิธีเติมเงินบัตร Rabbit (เติมที่ไหนได้บ้าง)
ก่อนใช้งานบัตร Rabbit จ่ายค่าโดยสารหรือซื้อของ แน่นอนว่าคุณต้องมีเงินอยู่ในบัตรเสียก่อน การเติมเงิน (Top-up) เข้าบัตร Rabbit สามารถทำได้หลายช่องทาง ดังนี้:
- เติมเงินที่ห้องจำหน่ายตั๋ว BTS: วิธีพื้นฐานและได้รับความนิยมมากที่สุด เพียงนำเงินสดไปยื่นให้พนักงานห้องตั๋วและแจ้งจำนวนที่ต้องการเติมเข้าบัตร (ขั้นต่ำครั้งละ 100 บาท) พนักงานจะเติมเงินเข้าบัตรให้และออกใบเสร็จยืนยัน จำนวนเงินสูงสุดที่บัตรหนึ่งใบจะเก็บได้คือประมาณ 4,000 – 10,000 บาท (ขึ้นกับประเภทบัตร/การลงทะเบียน ตามข้อกำหนด e-Money ของทางการ) การเติมเงินที่สถานี BTS ไม่มีค่าธรรมเนียมเพิ่มเติม
- เติมเงินผ่านเครื่องเติมเงินอัตโนมัติ: ปัจจุบันบางสถานี BTS มีเครื่องออกตั๋วรุ่นใหม่ที่รองรับการเติมเงินบัตร Rabbit โดยผู้ใช้สามารถทำรายการที่หน้าจอ เลือก “เติมเงินบัตรแรบบิท” แล้วเสียบธนบัตรตามจำนวนที่ต้องการเติม (รับเฉพาะแบงค์ 100 และ 500 บาท) เครื่องจะเติมมูลค่าเข้าไปในบัตรและพิมพ์สลิปให้ โดยไม่ต้องต่อคิวที่ห้องตั๋ว
- เติมเงินที่จุดรับเติมเงินนอกสถานี: Rabbit มีพันธมิตรผู้ให้บริการรับเติมเงิน เช่น ร้านค้าหรือเคาน์เตอร์ที่ร่วมรายการ อาทิ จุดบริการ Counter Service หรือตู้บุญเติมบางแห่ง (ตรวจสอบรายชื่อผู้ให้บริการที่ได้รับอนุญาตได้จากเว็บไซต์ Rabbit) อย่างไรก็ตาม ช่องทางนอกสถานีบางแห่งอาจมีค่าธรรมเนียมเล็กน้อย เช่น 5–10 บาท ต่อการเติม
- เติมเงินออนไลน์ผ่านแอป My Rabbit: นี่คือวิธีที่สะดวกและทันสมัยที่สุด เพียงดาวน์โหลดแอป My Rabbit ลงมือถือที่มี NFC (รองรับทั้ง iOS และ Android) จากนั้นลงทะเบียนผูกบัตรแรบบิทของคุณกับแอป เมื่อผูกแล้วคุณสามารถเติมเงินเข้าบัตรได้ทุกที่ทุกเวลา ผ่านบัตรเครดิต/เดบิตหรือโมบายแบงก์กิ้ง โดยเลือกเมนู “เติมเงิน” แล้วนำบัตร Rabbit แตะที่หลังโทรศัพท์มือถือจนระบบอ่านบัตร (มือถือจะสื่อสารกับชิป NFC ในบัตรโดยตรง) เลือกจำนวนเงินที่ต้องการเติมและช่องทางชำระเงิน แล้วทำรายการให้เสร็จสิ้น เงินก็จะเข้าสู่บัตรของคุณทันที จากนั้นคุณสามารถนำบัตรไปใช้แตะขึ้นรถหรือซื้อของได้ตามปกติ (ไม่ต้องไปยืนยันที่ตู้เพิ่มเติม)
- เติมเงินผ่าน Rabbit LINE Pay: หากคุณผูกบัตร Rabbit กับ Rabbit LINE Pay (บนแอป LINE) ตามที่อธิบายไว้แล้ว คุณก็สามารถเติมเงินเข้าสู่กระเป๋า Rabbit ได้ผ่านแอป LINE เช่นกัน วิธีคล้ายกับการเติมในแอป My Rabbit คือเลือกเมนูเติมเงิน ระบุจำนวน และชำระผ่านบัญชีที่ผูกไว้ เงินจะถูกโอนเข้า “Rabbit Wallet” ของคุณ จากนั้นคุณอาจต้องไปแตะบัตรที่หลังมือถือ (ผ่านฟีเจอร์ NFC ของ LINE หรือแอป BTS) เพื่อดึงเงินจาก Rabbit Wallet เข้าสู่บัตรจริงอีกที ทั้งนี้การเติมผ่าน Rabbit LINE Pay อาจมีขั้นตอนเพิ่มเติมเมื่อเทียบกับแอป My Rabbit ที่ออกแบบมาใหม่ให้รวมขั้นตอนเข้าด้วยกัน
- บริการเติมเงินอัตโนมัติ (Auto Top-up): สำหรับผู้ถือบัตรร่วมแบรนด์บางประเภท (เช่น บัตรเดบิต Rabbit ของธนาคารกรุงเทพ หรือบัตรเครดิตที่มีฟีเจอร์ Rabbit) คุณสามารถสมัครบริการ Auto Top-up ซึ่งระบบจะเติมเงินเข้าบัตรให้อัตโนมัติเมื่อมูลค่าในบัตรต่ำกว่าที่กำหนด (เช่น ต่ำกว่า 100 บาท เติมให้อีก 200 บาททันที) โดยหักเงินจากบัญชีธนาคาร/วงเงินบัตรเครดิตผูกร่วม สิ่งนี้ช่วยให้คุณไม่ต้องกังวลเรื่องเงินในบัตรหมดกลางทาง แต่ต้องระวังว่าควรตรวจสอบยอดใช้งานเป็นระยะเพื่อควบคุมค่าใช้จ่าย
ไม่ว่าคุณจะเติมเงินด้วยวิธีใด มูลค่าเงินที่เติมมีอายุ 2 ปี นับจากวันที่ทำรายการครั้งสุดท้าย หากบัตรไม่มีการใช้งานหรือเติมเงินเลยเกิน 2 ปี เงินที่อยู่ในบัตรจะถูก “พัก” ไว้ (ไม่หายไปไหน) และคุณต้องนำบัตรไปเติมเงินหรือทำรายการใหม่เพื่อปลดล็อคเงินนั้นกลับมาใช้ได้อีกครั้ง (อาจมีค่าธรรมเนียมการเปิดใช้เล็กน้อย) ซึ่งตรงนี้เป็นมาตรการตามกฎหมายของ e-Money ในไทยที่ป้องกันการเก็บเงินในระบบนิ่ง ๆ นานเกินไปนั่นเอง
เช็กยอดหลังเติม: หลังเติมเงินทุกครั้ง คุณสามารถตรวจสอบยอดเงินล่าสุดในบัตรได้โดยการแตะบัตรที่เครื่องตรวจยอดตามสถานี หรือดูจากใบเสร็จ (กรณีเติมที่เคาน์เตอร์/ตู้) หากเติมผ่านแอป ยอดจะแสดงในแอปทันที และเมื่อไปแตะใช้งานที่สถานี ยอดบนจอประตูจะอัปเดตตรงกับที่เติม
Tips: เพื่อความรวดเร็วในการขึ้นรถไฟฟ้า แนะนำให้วางแผนเติมเงินล่วงหน้า อย่ารอให้เงินหมดแล้วค่อยเติมขณะจะเดินทาง เพราะอาจต้องต่อคิวและเสียเวลา โดยเฉพาะช่วงชั่วโมงเร่งด่วน ในช่วงสิ้นเดือนหรือต้นเดือนที่เดินทางบ่อย ให้เติมครั้งเดียวจำนวนมากขึ้น เช่น 300–500 บาท จะช่วยลดความถี่ในการเติมบ่อย ๆ
ตั๋วรายเดือน BTS (เติมเที่ยวเดินทางลงบัตร Rabbit)
บัตร Rabbit ไม่ได้รองรับเฉพาะการหักเงินตามระยะทางเท่านั้น แต่คุณยังสามารถเติม “แพ็กเกจเที่ยวเดินทาง” (ตั๋วเดือน) ของ BTS ลงในบัตรเพื่อประหยัดค่าเดินทางได้อีกด้วย แพ็กเกจเหล่านี้เหมาะกับผู้ที่นั่งรถไฟฟ้าเป็นประจำ เนื่องจากคิดค่าโดยสารเฉลี่ยต่อเที่ยวถูกกว่าปกติ ตัวอย่างแพ็กเกจที่ BTS จำหน่ายในปัจจุบัน ได้แก่:
- บุคคลทั่วไป: แพ็กเกจ 10 เที่ยว, 15 เที่ยว, 25 เที่ยว และ 40 เที่ยว (อายุการใช้งาน 30 วัน) – ราคาต่อเที่ยวเฉลี่ย ~30-35 บาท ขึ้นกับจำนวนเที่ยว (ยิ่งซื้อเที่ยวจำนวนมาก ราคาต่อเที่ยวจะถูกลง)
- นักเรียน/นักศึกษา: แพ็กเกจ 15 เที่ยว, 25 เที่ยว, 35 เที่ยว (อายุใช้งาน 30 วัน) – ราคาต่อเที่ยวเฉลี่ย ~23-27 บาทต่อเที่ยว ซึ่งถูกกว่าราคาปกติอย่างมาก เหมาะกับนักเรียนที่เดินทางไป-กลับทุกวัน
เมื่อคุณซื้อแพ็กเกจเที่ยวเดินทาง เจ้าหน้าที่จะทำการบันทึกจำนวนเที่ยวลงในบัตร Rabbit ของคุณ เวลาใช้งานก็แตะบัตรเหมือนเดิม แต่ระบบจะหัก “จำนวนเที่ยว” แทนการหักเงินบาท (แสดงผลที่หน้าจอประตูเป็นจำนวนเที่ยวคงเหลือ) จนครบตามที่ซื้อไว้ หลังใช้หมดหรือหมดอายุ 30 วัน บัตรก็จะกลับไปหักค่าโดยสารเป็นเงินบาทปกติ เว้นแต่จะเติมแพ็กเกจใหม่เข้าไป
ช่องทางการซื้อแพ็กเกจ: คุณสามารถซื้อแพ็กเกจเหล่านี้ได้ที่ห้องตั๋ว BTS ทุกสถานี โดยแจ้งชนิดบัตร (ทั่วไป/นักศึกษา) และจำนวนเที่ยวที่ต้องการ เจ้าหน้าที่จะแจ้งราคาและบันทึกลงบัตรให้ นอกจากนั้น BTS ได้เปิดให้ซื้อแพ็กเกจผ่านระบบออนไลน์ เช่น ผ่านแอป Rabbit Rewards หรือแอป My Rabbit แล้วด้วย (ช่วงที่มีโปรโมชั่น “Xtreme Saving” ผู้โดยสารสามารถซื้อแพ็กเกจเที่ยวผ่านแอปได้ในราคาพิเศษและรับโค้ดส่วนลด) เมื่อซื้อออนไลน์ คุณจะได้รับ QR Code หรือ reference เพื่อนำไปแตะรับเที่ยวที่ตู้เติมเงินหรือผ่านแอป My Rabbit NFC ก็ได้เช่นกัน สะดวกมากยิ่งขึ้น
สิ่งที่ควรทราบคือ แพ็กเกจเที่ยวเดินทางของ BTS จะใช้งานได้เฉพาะในระบบ BTS (รวมส่วนต่อขยายสายสีเขียวทั้งหมด) แต่ ไม่ครอบคลุม การเดินทางเชื่อมต่อกับ MRT หรือ Airport Link และหากเดินทางข้ามไปโซนที่ไม่ครอบคลุม (เช่น จาก BTS ไปลง MRT) ก็ยังต้องเสียค่าโดยสารส่วนที่เกินด้วยเงินสดตามปกติ นอกจากนี้ แพ็กเกจแต่ละประเภทจะใช้ได้กับบัตรประเภทสิทธิตรงกันเท่านั้น เช่น แพ็กเกจนักเรียนใช้กับบัตร Rabbit Student เท่านั้น เอาไปใส่บัตรบุคคลทั่วไปไม่ได้ เป็นต้น
สำหรับผู้ที่โดยสาร BTS เป็นประจำทุกวัน การซื้อแพ็กเกจเที่ยวจะช่วยลดค่าใช้จ่ายต่อเดือนได้มาก และไม่ต้องกังวลเรื่องเติมเงินบ่อย ๆ อย่างไรก็ตาม หากช่วงไหนใช้รถไฟฟ้าน้อยลง (เช่น ปิดเทอม หรือลางานยาว) ก็ควรพิจารณาว่าคุ้มค่าหรือไม่ที่จะซื้อแพ็กเกจ เพราะหากใช้ไม่หมดภายใน 30 วัน เที่ยวที่เหลือจะสูญเปล่า (ไม่คืนเงิน) ดังนั้นควรเลือกแพ็กเกจให้เหมาะกับพฤติกรรมการเดินทางของตนเอง
การลงทะเบียนบัตร, การตรวจสอบข้อมูล, และการจัดการเมื่อบัตรหาย
การลงทะเบียนบัตร Rabbit: แม้บัตร Rabbit จะไม่ได้มีชื่อผู้ถือบัตรพิมพ์อยู่ แต่ผู้ใช้สามารถ “ลงทะเบียน” บัตรกับระบบของ Rabbit เพื่อยืนยันตัวตนเจ้าของบัตรได้ การลงทะเบียนทำได้ที่ศูนย์บริการ Rabbit (BTS สยาม) หรือห้องจำหน่ายตั๋ว BTS ทุกสถานีในเวลาทำการ โดยนำบัตร Rabbit ของคุณพร้อมบัตรประชาชนไปแจ้งขอลงทะเบียน ข้อมูลที่บันทึกจะเชื่อมเลขบัตรกับเลขบัตรประชาชนของคุณ การลงทะเบียนนี้มีประโยชน์หลายอย่าง เช่น กรณีบัตรหายสามารถอายัดและขอคืนเงินในบัตรได้, ใช้สมัคร Rabbit Rewards เพื่อสะสมคะแนน, รวมถึงเป็นการปฏิบัติตามกฎหมายป้องกันการฟอกเงินเมื่อมียอดเงินในบัตรเกินเกณฑ์ที่กำหนด เป็นต้น (ทั้งนี้ คุณสามารถลงทะเบียนบัตรกี่ใบก็ได้ไม่จำกัด ตามนโยบาย Rabbit ที่ระบุว่าหนึ่งคนมีบัตรกี่ใบก็ลงทะเบียนได้ทุกใบ)
หลังลงทะเบียน คุณควรเก็บหลักฐานหรือจดจำข้อมูลบัตรของตนไว้ เช่น หมายเลขบัตร 13 หลัก (พิมพ์อยู่บนหน้าบัตร) และชื่อ-สกุลที่ลงทะเบียน ให้ตรงกับบัตรประชาชน เพราะหากเกิดเหตุฉุกเฉินจะได้ใช้ยืนยันความเป็นเจ้าของได้สะดวกรวดเร็ว
กรณีบัตร Rabbit หายหรือถูกขโมย: สิ่งแรกที่ควรทำคือรีบโทรแจ้งศูนย์บริการ Rabbit เพื่ออายัดบัตรทันที หมายเลขโทรศัพท์ Rabbit Hotline 02-617-8383 (ให้บริการทุกวัน เวลา 8:00-20:00 น.) เมื่อโทรแจ้ง เจ้าหน้าที่จะสอบถามเลขบัตร 13 หลักและข้อมูลยืนยันตัวตนของคุณ จากนั้นจะทำการ “ระงับการใช้บัตร” ใบนั้นไม่ให้ใครนำไปใช้ได้ต่อ พร้อมดำเนินการโอนเงินคงเหลือในบัตรกลับคืนให้คุณตามช่องทางที่ตกลง (โดยปกติจะโอนเข้าบัญชีธนาคารของคุณภายใน ~7 วันทำการ) ทั้งนี้ การอายัดบัตรมีค่าบริการ 50 บาท ซึ่ง Rabbit จะหักจากยอดเงินในบัตรก่อนคืนให้คุณ หากเงินในบัตรไม่พอ อาจต้องชำระเพิ่มเมื่อไปรับบัตรใหม่
หลังอายัดแล้ว คุณสามารถไปขอรับบัตรใหม่ทดแทนใบเดิมได้ที่ห้องจำหน่ายตั๋ว BTS โดยแจ้งว่ามา “ออกบัตรใหม่กรณีบัตรหาย” พร้อมแสดงบัตรประชาชนเพื่อยืนยันตัวตนที่ลงทะเบียนไว้ เมื่อออกบัตรใหม่ (มีค่าธรรมเนียม 100 บาท) แล้ว ทาง Rabbit จะดำเนินการโอนเงินคงเหลือจากบัตรใบเก่ามาใส่ในบัตรใหม่ให้คุณ (เฉพาะยอดเงินเท่านั้น ส่วนจำนวนเที่ยวหรือแพ็กเกจใด ๆ ที่ค้างอยู่ในบัตรเก่า จะไม่สามารถกู้คืนได้) กระบวนการทั้งหมดนี้จะเป็นไปได้ก็ต่อเมื่อบัตรเดิมของคุณได้ลงทะเบียนไว้อย่างถูกต้องเท่านั้น หากไม่ได้ลงทะเบียนมาก่อน Rabbit จะไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าคุณเป็นเจ้าของ ทำให้ไม่สามารถคืนเงินในบัตรให้ได้ ดังนั้น เพื่อความปลอดภัย ควรลงทะเบียนบัตรทันทีที่เริ่มใช้งาน
ในกรณีที่คุณพบบัตร Rabbit ของผู้อื่นตกหล่น สามารถส่งคืนให้เจ้าหน้าที่ BTS ที่สถานีใกล้เคียงเพื่อประสานงานส่งคืนเจ้าของตามข้อมูลทะเบียนได้ หรือหากคุณทำบัตรหายแล้วมีพลเมืองดีส่งคืนเจ้าหน้าที่ คุณก็สามารถติดต่อศูนย์ Lost & Found ของ BTS เพื่อเช็คว่ามีบัตรของคุณส่งคืนมาหรือไม่ (โดยแจ้งเลขบัตรหรือชื่อนามสกุลให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบ)
กรณีบัตรชำรุด/เสียหาย: หากบัตร Rabbit ของคุณแตะไม่ติดหรือแตกหักงอจนเครื่องไม่อ่าน สิ่งที่ต้องทำคือให้นำบัตรใบนั้นไปติดต่อที่ห้องตั๋ว BTS เพื่อออกบัตรใหม่ (มีค่าธรรมเนียม 100 บาท) โดยในบางกรณีที่บัตรชำรุดมาก บริษัทขอสงวนสิทธิ์ไม่คืนเงินหรือเที่ยวที่คงเหลือ (กรณีพิสูจน์ได้ว่าเกิดจากการใช้งานผิดวิธี เช่น ทำบัตรหักเอง) แต่โดยทั่วไปหากบัตรเสื่อมสภาพตามอายุการใช้งาน เจ้าหน้าที่มักช่วยโอนมูลค่าคงเหลือไปยังบัตรใหม่ให้ทั้งหมด คุณจึงควรระมัดระวังการเก็บรักษาบัตร อย่าทำตกน้ำหรือขูดขีดบัตร และไม่ควรเจาะรูบัตร (หลายคนอยากเจาะรูร้อยพวงกุญแจ แต่บัตร Rabbit มีเสาอากาศและชิปอยู่ข้างใน การเจาะอาจทำให้บัตรเสียได้)
ตรวจสอบวันหมดอายุของบัตร: คุณสามารถตรวจสอบวันหมดอายุ (7 ปี) ของบัตร Rabbit ของตนเองได้ง่าย ๆ ด้วยสองวิธี: 1) ดูที่สลิปเติมเงินล่าสุด มักจะมี “Expiry Date” ระบุ, 2) เช็กผ่านแอป My Rabbit หรือ Rabbit LINE Pay ถ้าคุณผูกบัตรไว้ แอปจะแสดงวันหมดอายุ หรือ 3) สอบถามพนักงานที่ห้องตั๋ว BTS โดยแจ้งเลขบัตรให้ตรวจสอบ หากบัตรของคุณใกล้หมดอายุ (เช่น เหลือไม่กี่เดือนครบ 7 ปี) แนะนำให้วางแผนเปลี่ยนบัตรใหม่ล่วงหน้า เพื่อป้องกันการใช้งานสะดุดเมื่อบัตรหมดอายุ
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับบัตร Rabbit
บัตรแรบบิทหาซื้อได้ที่ไหน?
คุณสามารถซื้อบัตร Rabbit ได้ที่ห้องจำหน่ายตั๋วโดยสารรถไฟฟ้า BTS ทุกสถานี รวมถึงสถานีรถไฟฟ้าโมโนเรลสายสีชมพู/เหลือง (ในเครือ BTS) โดยบัตรมาตรฐานมีค่าธรรมเนียมออกบัตร 200 บาท (ได้มูลค่าในบัตร 100 บาท) กรณีต้องการบัตรนักเรียน/นักศึกษาหรือผู้สูงอายุ ให้เตรียมบัตรประชาชนและบัตรนักเรียนไปแสดงตอนขอซื้อด้วย
บัตรแรบบิทราคาเท่าไร และมีมัดจำหรือไม่?
บัตร Rabbit มาตรฐานราคา 200 บาทต่อใบ โดยแบ่งเป็นค่าธรรมเนียมออกบัตร 100 บาท และมูลค่าเงินเริ่มต้นในบัตร 100 บาท (พร้อมใช้งาน) ปัจจุบันไม่มีการเก็บค่ามัดจำบัตรเพิ่มเติมหรือค่าธรรมเนียมรายปีใด ๆ ทั้งสิ้น – จ่ายครั้งเดียว 200 บาทแล้วบัตรเป็นของคุณตลอดอายุการใช้งาน 7 ปี
บัตร Rabbit เติมเงินยังไง? เติมขั้นต่ำเท่าไร?
การเติมเงินบัตรแรบบิทสามารถทำได้ที่ห้องตั๋ว BTS ทุกสถานี (เงินสดขั้นต่ำ 100 บาทต่อครั้ง) หรือเติมผ่านแอป My Rabbit บนมือถือ (ตัดเงินผ่านบัตรเครดิต/บัญชีธนาคารได้) นอกจากนี้ยังมีเครื่องเติมเงินอัตโนมัติที่บางสถานี และจุดรับเติมเงินตามร้านค้าพันธมิตรบางแห่งอีกด้วย การเติมเงินแต่ละบัตรสามารถสะสมมูลค่าได้สูงสุดประมาณ 4,000–10,000 บาท (ขึ้นอยู่กับการลงทะเบียนตามกฎ e-money) หากไม่ได้ใช้หรือเติมเงินเกิน 2 ปี ยอดเงินจะถูกพักการใช้งานแต่สามารถนำบัตรมาเติมใหม่เพื่อปลดล็อกเงินนั้นได้
บัตรแรบบิทใช้ที่ไหนได้บ้าง?
บัตร Rabbit ใช้ขึ้นรถไฟฟ้า BTS ทุกสาย (รวมส่วนต่อขยายสายสีเขียว), รถไฟฟ้าสายสีทอง, รถไฟฟ้าโมโนเรลสายสีชมพูและสีเหลือง, รถเมล์ BRT และรถโดยสารสมาร์ทบัสบางสาย (เช่น 104, 147) นอกจากนี้ยังใช้จ่ายค่าเรือโดยสารบางเส้นทาง เช่น เรือด่วนเจ้าพระยา, เรือคลองภาษีเจริญ ได้ด้วย ส่วนการใช้จ่ายซื้อสินค้าสามารถใช้ได้ที่ร้านค้าพันธมิตรหลากหลาย เช่น ร้านอาหาร, ร้านเครื่องดื่ม (Starbucks เป็นต้น), ซูเปอร์มาร์เก็ต (โฮมเฟรชมาร์ท) และร้านค้าอื่น ๆ อีกมากมาย
บัตร Rabbit ใช้กับ MRT หรือ 7-11 ได้ไหม?
ไม่สามารถใช้ได้ในขณะนี้ บัตร Rabbit ยังใช้ขึ้นรถไฟฟ้า MRT ไม่ได้ (MRT มีบัตรโดยสารของตัวเอง) และร้านสะดวกซื้อ 7-Eleven ก็ยังไม่รองรับการจ่ายเงินผ่าน Rabbit Card อย่างไรก็ตาม คุณสามารถใช้ Rabbit กับขนส่งอื่น ๆ อย่าง BTS, BRT, สายสีชมพู/เหลือง, เรือ และใช้ซื้อของในร้านค้าพันธมิตรอื่น ๆ ได้ตามปกติ
Rabbit LINE Pay คืออะไร? ต้องใช้บัตรแยกต่างหากไหม?
Rabbit LINE Pay คือบริการกระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์บนแอป LINE ที่เชื่อมกับบัตรแรบบิทของคุณ เพื่อให้เติมเงินและจ่ายเงินค่าโดยสาร BTS ผ่านมือถือได้สะดวกขึ้น โดยไม่ต้องไปเติมเงินที่สถานี คุณไม่จำเป็นต้องมีบัตร Rabbit ใบใหม่ – ใช้บัตรใบเดิมของคุณนี่แหละมาผูกกับบัญชี LINE ก็พอ จากนั้นจะสามารถเติมเงินเข้าบัตรผ่านแอป, ตรวจสอบยอดเงินคงเหลือ/เที่ยวที่เหลือ และดูประวัติการเดินทางได้ ผ่านแอป LINE (เมนู Rabbit LINE Pay) หรือแอป My Rabbit ซึ่งเป็นแอปอย่างเป็นทางการของ Rabbit ก็ได้ ทั้งนี้ Rabbit LINE Pay เป็นการเพิ่มความสะดวก แต่ตัวบัตร Rabbit ทางกายภาพก็ยังต้องใช้แตะขึ้นรถอยู่เหมือนเดิม เพียงแต่เราสามารถควบคุมจัดการบัตรได้ผ่านแอปมือถือเท่านั้น
บัตรแรบบิทหมดอายุ / บัตรหาย ต้องทำยังไง?
บัตร Rabbit มีอายุใช้งาน 7 ปีนับจากวันออกบัตร หากหมดอายุคุณต้องออกบัตรใหม่ (ค่าออกบัตร 100 บาท) โดยยอดเงินคงเหลือสามารถขอโอนมาบัตรใหม่ได้ที่ห้องตั๋ว BTS ส่วนกรณีบัตรหายหรือถูกขโมย ให้โทรแจ้งอายัดที่ Rabbit Hotline 02-617-8383 ทันที (มีค่าบริการ 50 บาท) จากนั้นนำบัตรประชาชนไปขอออกบัตรใหม่ที่สถานี BTS โดยเงินคงเหลือจะถูกโอนเข้าบัตรใหม่ให้คุณ (เฉพาะกรณีที่บัตรเดิมได้ลงทะเบียนไว้แล้วเท่านั้น) ถ้ายังไม่ได้ลงทะเบียนบัตรมาก่อน เงินในบัตรจะไม่สามารถกู้คืนได้
หวังว่าคู่มือฉบับนี้จะช่วยให้คุณเข้าใจการใช้งานบัตร Rabbit ได้อย่างละเอียดครบถ้วน ไม่ว่าจะเป็นมือใหม่ที่เพิ่งเริ่มใช้บัตร หรือผู้ใช้งานเดิมที่อยากรู้ฟีเจอร์ใหม่ ๆ ของบัตรใบนี้ บัตร Rabbit ใบเล็ก ๆ สามารถมอบความสะดวกสบายในการเดินทางและการใช้จ่ายอย่างมาก เมื่อใช้อย่างถูกวิธีและรู้จักสิทธิประโยชน์ของมันอย่างเต็มที่ พกบัตร Rabbit ใบเดียว คุณก็พร้อมออกเดินทางทั่วกรุงเทพฯ ได้ทั้งรถไฟฟ้า รถเมล์ด่วน เรือโดยสาร และยังแวะกิน ช้อป ใช้ชีวิตในเมืองได้อย่างคล่องตัวโดยไม่ต้องควักเงินสดให้วุ่นวาย เรียกได้ว่าเป็นไอเท็มจำเป็นสำหรับชีวิตคนเมืองยุคใหม่เลยทีเดียว หากคุณยังไม่มีบัตร Rabbit ก็ลองหามาใช้ดู แล้วจะพบกับประสบการณ์ใหม่ของความสะดวกสบายในการเดินทางและไลฟ์สไตล์!

ชื่อของฉันคือ นิรุตติ์ แสนไชย
ฉันเป็นผู้เชี่ยวชาญในด้านโทรคมนาคม ฉันเคยทำงานในบริษัททั้งหมดในประเทศไทย: AIS (เครื่องหมายการค้า 1-2-call), DTAC (เครื่องหมายการค้า Happy) และ True Mobile
ฉันหวังว่าเว็บไซต์ของฉันจะช่วยคุณได้และจะมีประโยชน์มาก