CPTPP คืออะไร? ข้อตกลงการค้าเสรีฉบับสำคัญที่ควรรู้จัก

CPTPP คืออะไร?

CPTPP ย่อมาจาก Comprehensive and Progressive Agreement for Trans-Pacific Partnership หรือในภาษาไทยเรียกว่า ความตกลงความครอบคลุมและความก้าวหน้าเพื่อหุ้นส่วนทางการค้าภาคพื้นเอเชียแปซิฟิก ซึ่งเป็นข้อตกลงหรือสัญญาการค้าเสรีพหุภาคีระหว่างหลายประเทศในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก มีเป้าหมายเพื่อเปิดเสรีทางการค้าและการลงทุน รวมทั้งสร้างมาตรฐานกฎเกณฑ์ทางเศรษฐกิจร่วมกันระหว่างประเทศสมาชิก CPTPP ครอบคลุมประเด็นกว้างขวาง ทั้งการลดภาษีศุลกากร เปิดตลาดภาคบริการ การคุ้มครองการลงทุน ทรัพย์สินทางปัญญา มาตรฐานแรงงาน มาตรการด้านสิ่งแวดล้อม ตลอดจนกลไกการแก้ไขข้อพิพาทระหว่างรัฐกับนักลงทุนต่างชาติอย่างเป็นระบบ

ความตกลง CPTPP ถือกำเนิดขึ้นหลังจากความตกลง TPP (Trans-Pacific Partnership) ฉบับเดิมไม่ประสบความสำเร็จ เนื่องจากสหรัฐอเมริกาถอนตัวออกในปี พ.ศ. 2560 ประเทศที่เหลือจึงร่วมกันปรับปรุงข้อตกลงและลงนามจัดตั้ง CPTPP เมื่อวันที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2561 ที่กรุงซานเตียโก ประเทศชิลี ทำให้ข้อตกลงนี้มีผลบังคับใช้ช่วงปลายปีเดียวกัน CPTPP ได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในเขตการค้าเสรีขนาดใหญ่ของโลก เพราะรวมเศรษฐกิจของหลายประเทศเข้าด้วยกัน และยังกำหนดมาตรฐานใหม่ ๆ ในการค้าระหว่างประเทศที่มีความครอบคลุมและก้าวหน้าตามชื่อของมัน

ประเทศสมาชิก CPTPP

ประเทศที่ลงนามในสัญญา CPTPP ในปัจจุบันมีทั้งหมด 11 ประเทศ ได้แก่ ญี่ปุ่น, แคนาดา, เม็กซิโก, เปรู, ชิลี, ออสเตรเลีย, นิวซีแลนด์, สิงคโปร์, มาเลเซีย, บรูไน และ เวียดนาม ทุกประเทศเหล่านี้เป็นสมาชิกเต็มรูปแบบที่ให้สัตยาบันข้อตกลงแล้ว นอกจากนี้ สหราชอาณาจักรได้ลงนามขอเข้าร่วมความตกลงนี้เมื่อปี พ.ศ. 2566 และอยู่ระหว่างขั้นตอนการให้สัตยาบันจากสมาชิกเดิม ซึ่งเมื่อเสร็จสิ้นจะส่งผลให้ CPTPP มีสมาชิกเพิ่มเป็น 12 ประเทศ

เดิมที CPTPP พัฒนามาจากความตกลง TPP ที่สหรัฐอเมริกาเคยเข้าร่วม แต่ภายหลังสหรัฐถอนตัวออก ทำให้ CPTPP มีสมาชิกเฉพาะประเทศที่กล่าวมาข้างต้น (ไม่มีสหรัฐฯ) อย่างไรก็ตาม ข้อตกลงนี้ยังได้รับความสนใจจากประเทศอื่น ๆ นอกเหนือจากสมาชิกปัจจุบัน เช่น จีน และ ไต้หวัน ที่ได้ยื่นความจำนงต้องการเข้าร่วม CPTPP ในอนาคต สะท้อนว่า CPTPP เป็นความตกลงการค้าระหว่างประเทศที่หลายชาติให้ความสำคัญและต้องการเข้ามามีส่วนร่วม

ประเทศไทยกับ CPTPP

ประเทศไทยยังไม่ได้เข้าร่วม CPTPP ณ ปัจจุบัน แต่ประเด็นเรื่องการเข้าร่วมความตกลงนี้เป็นที่ถกเถียงอย่างมากในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะราวปี พ.ศ. 2564 ที่หัวข้อ CPTPP กลายเป็นประเด็นร้อนทางนโยบาย มีทั้งฝ่ายที่สนับสนุนและฝ่ายที่คัดค้านอย่างชัดเจน ในปี 2564 คณะกรรมาธิการพาณิชย์ฯ ของวุฒิสภา ได้ส่งข้อเสนอถึงนายกรัฐมนตรี แนะนำให้ไทยเร่งเจรจาเข้าร่วม CPTPP เพื่อใช้เป็นโอกาสฟื้นฟูเศรษฐกิจหลังสถานการณ์โควิด-19 ดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ และรักษาขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ขณะเดียวกัน ฝ่ายที่คัดค้านมองว่าไทยยังขาดความพร้อมในหลายด้าน โดย เครือข่ายภาคประชาชน ได้เรียกร้องให้รัฐบาลชะลอการเข้าร่วมจนกว่าจะมีการศึกษาผลกระทบและรับฟังความคิดเห็นจากทุกภาคส่วนอย่างเพียงพอ ประเด็นนี้ถูกพูดถึงอย่างกว้างขวางทั้งในการเมืองและบนโลกออนไลน์ (เช่น มีผู้ตั้งคำถามบนเว็บบอร์ด Pantip ว่า “ทำไมไทยไม่เข้าร่วม CPTPP?”) ซึ่งสะท้อนถึงความกังวลและความไม่แน่ใจของประชาชนทั่วไปเกี่ยวกับข้อตกลงนี้

ฝ่ายสนับสนุนการเข้าร่วม CPTPP อันได้แก่หน่วยงานภาครัฐบางส่วนและภาคธุรกิจ มองว่าการเข้าร่วมความตกลงนี้จะเป็นประโยชน์ต่อเศรษฐกิจไทยในระยะยาว พวกเขาให้เหตุผลว่าไทยจะสามารถเปิดตลาดส่งออกสินค้าไปยังประเทศสมาชิกใหม่ ๆ ที่เรายังไม่มีความตกลงการค้าเสรีด้วย (เช่น แคนาดาและเม็กซิโก) ทำให้สินค้าไทยแข่งขันได้มากขึ้น นอกจากนี้ยังมองว่าการเข้าร่วม CPTPP จะช่วยดึงดูดการลงทุนจากต่างชาติให้เข้ามาในประเทศมากขึ้น เมื่อการลงทุนเพิ่มก็จะเกิดการจ้างงานและสร้างรายได้ภายในประเทศมากขึ้นตามไปด้วย ฝ่ายสนับสนุนยังเชื่อว่าการเข้าร่วมข้อตกลงระดับสูงอย่าง CPTPP จะยกระดับมาตรฐานธุรกิจของไทยให้ทัดเทียมสากล ไม่ว่าจะเป็นมาตรฐานแรงงาน การคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญา หรือมาตรฐานด้านสิ่งแวดล้อม ซึ่งจะส่งผลดีต่อภาพลักษณ์และความสามารถในการแข่งขันของไทยในเวทีโลก อีกทั้งไทยอาจได้อำนาจต่อรองระหว่างประเทศมากขึ้นจากการที่เราเข้าไปมีส่วนร่วมกำหนดกติกาการค้าในภูมิภาคนี้ ฝ่ายนี้เตือนด้วยว่าหากไทยไม่เข้าร่วม CPTPP เราอาจสูญเสียโอกาสทางเศรษฐกิจให้กับประเทศเพื่อนบ้านที่เข้าร่วมก่อน และจีดีพีของไทยอาจเติบโตช้าลงเมื่อเทียบกับกรณีที่เข้าร่วม

ฝ่ายคัดค้านการเข้าร่วม CPTPP ประกอบด้วยเครือข่ายภาคประชาสังคม นักวิชาการด้านสุขภาพและเกษตร รวมถึงประชาชนจำนวนมากที่กังวลต่อผลกระทบเชิงลบของข้อตกลงนี้ กลุ่มนี้ได้รวมตัวกันรณรงค์ผ่านแคมเปญ #NoCPTPP (โน CPTPP) ซึ่งหมายถึงการไม่เอา CPTPP โดยได้ยื่นจดหมายเปิดผนึกและจัดกิจกรรมต่าง ๆ เพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลไทยไม่เข้าร่วมความตกลงดังกล่าว เหตุผลหลักของฝ่ายคัดค้าน คือเกรงว่าประเทศไทยจะเสียเปรียบและประชาชนจะได้รับผลกระทบในหลายด้าน หากต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขของ CPTPP ตัวอย่างเช่น ด้านการเกษตร ไทยอาจต้องแก้ไขกฎหมายเพื่อเข้าร่วมอนุสัญญาคุ้มครองพันธุ์พืชใหม่ UPOV1991 ซึ่งจะจำกัดสิทธิของเกษตรกรในการเก็บเมล็ดพันธุ์พืชไปปลูกในฤดูกาลถัดไป เพราะพันธุ์พืชใหม่จะถูกผูกขาดโดยบริษัทที่จดสิทธิบัตร ส่งผลให้เกษตรกรต้องซื้อเมล็ดพันธุ์ทุกครั้งและมีค่าใช้จ่ายสูงขึ้น นอกจากนี้ยังมีความกังวลว่าไทยอาจต้องยอมรับการนำเข้าพืชดัดแปลงพันธุกรรม (GMO) จากต่างประเทศมากขึ้นด้วย ด้านสาธารณสุข ก็เป็นอีกประเด็นใหญ่ที่ถูกหยิบยกขึ้นมา โดยการเข้าร่วม CPTPP อาจบังคับให้ไทยปรับกฎเกณฑ์ด้านสิทธิบัตรยา ซึ่งเพิ่มการผูกขาดยาให้บริษัทยาข้ามชาติได้นานขึ้น ผลที่ตามมาคือราคายาในประเทศไทยอาจแพงขึ้นและการเข้าถึงยาของประชาชนโดยเฉพาะยาชื่อสามัญ (ยาสามัญประจำบ้าน) จะยากลำบากกว่าเดิม

นอกจากนี้ ฝ่ายคัดค้านยังห่วงว่าเงื่อนไขบางข้อของ CPTPP จะกระทบต่อธุรกิจรายย่อยและนโยบายสาธารณะของไทย เช่น ข้อผูกพันเรื่องการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐที่กำหนดว่ารัฐวิสาหกิจและหน่วยงานรัฐต้องให้โอกาสบริษัทต่างชาติเข้าแข่งขันเท่าเทียมบริษัทไทย ซึ่งทำให้รัฐไม่สามารถสนับสนุนผู้ประกอบการในประเทศได้เหมือนเดิม อีกทั้งการที่รัฐต้องเปิดเสรีบริการบางประเภทมากขึ้น อาจทำให้ธุรกิจท้องถิ่นแข่งขันลำบากเมื่อเจอกับบริษัทใหญ่จากต่างชาติ ขณะเดียวกัน กลไกคุ้มครองนักลงทุนต่างชาติภายใต้ CPTPP (ที่ให้นักลงทุนฟ้องร้องรัฐได้หากนโยบายรัฐกระทบต่อผลกำไรของพวกเขา) ก็ถูกมองว่าเป็นความเสี่ยงต่ออธิปไตยทางนโยบายของไทย เพราะรัฐบาลอาจลังเลที่จะออกกฎคุมเข้มเพื่อปกป้องสุขภาพประชาชนหรือสิ่งแวดล้อม หากเกรงว่าจะโดนฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายจำนวนมหาศาล สรุปแล้ว ฝ่ายคัดค้านเห็นว่าผลเสียที่ไทยจะได้รับจาก CPTPP มีน้ำหนักมากกว่าผลดีที่คาดว่าจะได้ในบางด้าน

จากกระแสทั้งสองฝ่ายที่แรงพอ ๆ กันนี้ ทำให้จนถึงตอนนี้รัฐบาลไทยยังไม่มีการตัดสินใจขั้นสุดท้ายเรื่องการเข้าร่วม CPTPP ไทยอยู่ระหว่างการพิจารณาอย่างรอบคอบ โดยรัฐบาลได้ตั้งคณะกรรมการศึกษาโครงการ CPTPP เพื่อประเมินข้อดีข้อเสียและรับฟังความคิดเห็นจากทุกภาคส่วนอย่างละเอียดก่อนดำเนินการใด ๆ ต่อไป กล่าวได้ว่า CPTPP คือประเด็นสำคัญที่ประเทศไทยยังต้องชั่งน้ำหนักอย่างรอบด้าน เพราะมีทั้งโอกาสทางเศรษฐกิจและความเสี่ยงต่อผลประโยชน์ของประชาชนอยู่ในความสมดุล

CPTPP มีข้อดีและข้อเสียอะไรบ้าง?

การเข้าร่วม CPTPP ย่อมมีทั้งแง่บวกและแง่ลบที่ประเทศไทยต้องนำมาพิจารณาประกอบการตัดสินใจ ข้อดีและข้อเสียหลัก ๆ ของ CPTPP มีดังนี้:

ข้อดีของ CPTPP

  • เปิดตลาดส่งออกใหม่ ๆ ให้ไทย: การเข้าร่วม CPTPP จะทำให้ไทยสามารถส่งออกสินค้าไปยังตลาดของประเทศสมาชิกที่ไทยยังไม่มีความตกลงการค้าเสรีด้วยมาก่อน เช่น แคนาดาและเม็กซิโก เป็นการขยายตลาดส่งออกสินค้าไทยให้กว้างขึ้น สินค้าไทยหลายประเภท (เช่น อาหารแปรรูป ยางพารา ชิ้นส่วนยานยนต์ อิเล็กทรอนิกส์ เป็นต้น) จะได้รับโอกาสทางการค้ามากขึ้นเมื่อภาษีนำเข้าถูกปรับลดหรือยกเลิกตามข้อตกลง

  • ดึงดูดการลงทุนและเพิ่มการจ้างงาน: เมื่อไทยเป็นสมาชิก CPTPP จะมีนักลงทุนต่างชาติสนใจเข้ามาลงทุนมากขึ้น เพราะสามารถใช้ไทยเป็นฐานการผลิตเพื่อส่งออกไปยังประเทศสมาชิกอื่นได้โดยสะดวก การลงทุนจากต่างประเทศที่เพิ่มขึ้นนี้จะก่อให้เกิดการจ้างงานใหม่ ๆ ในประเทศ ทำให้ประชาชนมีโอกาสได้งานและรายได้เพิ่มขึ้น อีกทั้งยังช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ

  • ยกระดับมาตรฐานและความสามารถในการแข่งขัน: CPTPP เป็นข้อตกลงการค้าที่กำหนดมาตรฐานสูงในหลายด้าน เช่น กฎหมายแรงงานที่เป็นธรรม การคุ้มครองสิ่งแวดล้อม การแข่งขันทางธุรกิจที่โปร่งใส เป็นต้น การที่ไทยเข้าร่วมจะกดดันให้ภาครัฐและภาคธุรกิจต้องปรับตัวยกระดับมาตรฐานให้สอดคล้องกับกติกาสากล ซึ่งระยะยาวจะส่งผลดี ทำให้สินค้าบริการของไทยมีคุณภาพขึ้นและแข่งขันในตลาดโลกได้ทัดเทียมคู่แข่งต่างชาติ นอกจากนี้ การเข้าร่วมข้อตกลงยังช่วยสร้างภาพลักษณ์ที่ดีและเพิ่มความเชื่อมั่นต่อนักลงทุนว่าประเทศไทยยึดถือกฎเกณฑ์ตามมาตรฐานสากล

  • เพิ่มอำนาจต่อรองของไทยบนเวทีการค้าโลก: การเป็นส่วนหนึ่งของความตกลง CPTPP ทำให้ไทยมีเสียงในการเจรจาระหว่างประเทศมากขึ้น เราจะได้เข้าร่วมโต๊ะเจรจาที่กำหนดกติกาการค้าระดับภูมิภาคและระดับโลก เทียบเท่ากับชาติสมาชิกอื่น ๆ ใน CPTPP ซึ่งรวมหลายประเทศเศรษฐกิจสำคัญ การที่ไทยอยู่ในกลุ่มนี้จะช่วยให้เราสามารถล็อบบี้หรือแสดงจุดยืนเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของประเทศในเวทีการค้าต่าง ๆ ได้ดีกว่าการอยู่นอกกลุ่ม

ข้อเสียของ CPTPP

  • ผลกระทบต่อเกษตรกรและเมล็ดพันธุ์: การเข้าร่วม CPTPP อาจบังคับให้ไทยต้องเข้าร่วมอนุสัญญาคุ้มครองพันธุ์พืชใหม่ (UPOV 1991) ซึ่งจะทำให้บริษัทผู้คิดค้นพันธุ์พืชมีสิทธิบัตรผูกขาดพันธุ์พืชได้นานขึ้น เกษตรกรไทยจะไม่สามารถเก็บเมล็ดพันธุ์จากผลผลิตของตนเองไปปลูกต่อในฤดูกาลหน้าได้ หากพันธุ์นั้นถูกจดสิทธิบัตรไว้ ต้องซื้อเมล็ดพันธุ์ใหม่จากบริษัทที่ถือสิทธิ ทำให้ต้นทุนการเพาะปลูกสูงขึ้นมาก เกษตรกรรายย่อยเสียประโยชน์ นอกจากนี้ยังมีความกังวลเรื่องการยอมให้พืชดัดแปลงพันธุกรรม (GMO) เข้ามาในประเทศง่ายขึ้น ซึ่งอาจกระทบต่อเกษตรกรและความหลากหลายทางชีวภาพของไทย

  • ผลกระทบต่อยารักษาโรคและสาธารณสุข: ภายใต้ CPTPP ไทยอาจต้องแก้ไขกฎหมายสิทธิบัตรยาเพื่อให้สอดคล้องกับมาตรฐานที่เข้มงวดขึ้น ส่งผลให้บริษัทยาข้ามชาติสามารถผูกขาดยาได้นานขึ้น (เกิน 20 ปีในบางกรณี) ก่อนที่จะมียาชื่อสามัญออกสู่ตลาดได้ การผูกขาดที่ยาวนานขึ้นนี้ทำให้ราคายาในตลาดสูงขึ้นเพราะไม่มีการแข่งขันจากยาชื่อสามัญ ผู้ป่วยและระบบสาธารณสุขไทยจะมีภาระค่าใช้จ่ายด้านยาที่แพงขึ้น และการพัฒนายาสามัญโดยผู้ผลิตในประเทศจะถูกชะลอเพราะติดข้อจำกัดด้านสิทธิบัตร การเข้าถึงยาราคาถูกของประชาชนจึงยากลำบากกว่าเดิม ซึ่งเป็นข้อกังวลสำคัญของกลุ่มคัดค้าน CPTPP

  • ข้อจำกัดต่อธุรกิจท้องถิ่นและบริการสาธารณะ: CPTPP กำหนดหลักการให้การแข่งขันทางการค้าระหว่างประเทศสมาชิกเป็นไปอย่างเสรีและเท่าเทียม ภาครัฐของไทยจะไม่สามารถให้สิทธิหรือความช่วยเหลือพิเศษแก่ผู้ประกอบการไทยเหนือผู้ประกอบการต่างชาติได้ในหลายกรณี เช่น ในการจัดซื้อจัดจ้างของหน่วยงานรัฐต้องเปิดโอกาสให้บริษัทจากทุกประเทศสมาชิกเข้าประมูลแข่งขันอย่างเท่าเทียมกัน ผลคือผู้ประกอบการรายเล็กของไทยอาจเสียเปรียบบริษัทข้ามชาติที่มีศักยภาพมากกว่า นอกจากนี้ การที่รัฐพยายามควบคุมราคาสินค้าบริการเพื่อประชาชน (เช่น ค่ารักษาพยาบาล ค่ายา ค่าไฟฟ้า น้ำประปา เป็นต้น) อาจถูกมองว่าเป็นการแทรกแซงตลาดและถูกท้าทายภายใต้เงื่อนไขของ CPTPP ทำให้รัฐดำเนินนโยบายอุดหนุนช่วยเหลือประชาชนได้ยากขึ้น เกิดความเสี่ยงที่ค่าครองชีพโดยเฉพาะค่าบริการพื้นฐานจะสูงขึ้นเมื่อทุกอย่างต้องเป็นไปตามกลไกตลาดเสรี

  • ความเสี่ยงต่ออธิปไตยและนโยบายของรัฐ: ในความตกลง CPTPP มีบทว่าด้วยการคุ้มครองการลงทุนที่เปิดช่องให้นักลงทุนต่างชาติสามารถใช้กลไกระงับข้อพิพาทระหว่างรัฐและเอกชน (Investor-State Dispute Settlement – ISDS) ฟ้องร้องรัฐบาลไทยได้โดยตรง หากเห็นว่ามาตรการหรือกฎหมายของรัฐไทยละเมิดสิทธิหรือกระทบต่อผลกำไรของตนเอง การมีข้อผูกพันลักษณะนี้ถูกมองว่าเป็นการลดทอนอธิปไตยในการกำหนดนโยบายของประเทศ เพราะรัฐบาลอาจต้องระมัดระวังมากขึ้นในการออกกฎเกณฑ์ใหม่ ๆ เพื่อไม่ให้สุ่มเสี่ยงต่อการถูกฟ้องร้องจากนักลงทุน ตัวอย่างเช่น นโยบายด้านสาธารณสุขหรือสิ่งแวดล้อมที่เข้มงวดต่อบรรษัทข้ามชาติ อาจทำให้รัฐไทยโดนเรียกร้องค่าเสียหายผ่านกลไกอนุญาโตตุลาการระหว่างประเทศได้ ความยืดหยุ่นในการดำเนินนโยบายเพื่อประโยชน์สาธารณะของไทยจึงอาจลดลง เมื่ออยู่ภายใต้กรอบพันธกรณีของ CPTPP

(สรุป: CPTPP มีทั้งข้อดีที่จะเปิดโอกาสทางเศรษฐกิจใหม่ ๆ ให้ไทย แต่ขณะเดียวกันก็มีข้อเสียที่อาจกระทบต่อเกษตรกร ผู้บริโภค และขีดความสามารถของรัฐในการกำกับดูแลประเทศ ดังนั้นการตัดสินใจเข้าร่วมหรือไม่ควรพิจารณาอย่างรอบด้าน)

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ CPTPP (FAQ)

CPTPP คืออะไร?
CPTPP คือความตกลงการค้าเสรีระหว่างประเทศกลุ่มเอเชีย-แปซิฟิกหลายประเทศ มีวัตถุประสงค์เพื่อลดอุปสรรคทางการค้าและส่งเสริมการลงทุนระหว่างประเทศสมาชิกอย่างครอบคลุมและก้าวหน้า

อะไรคือ CPTPP?
CPTPP (Comprehensive and Progressive Agreement for Trans-Pacific Partnership) เป็นข้อตกลงการค้าเสรีพหุภาคีระหว่าง 11 ประเทศในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ที่มุ่งเปิดเสรีการค้า การบริการ และการลงทุน พร้อมทั้งกำหนดกติกาทางเศรษฐกิจร่วมกันในหมู่ประเทศสมาชิก

CPTPP คือ ข้อดี ข้อเสียอะไรบ้าง?
ข้อดีของ CPTPP คือไทยจะได้ประโยชน์จากการเปิดตลาดส่งออกใหม่ เพิ่มการลงทุนและการจ้างงาน รวมถึงยกระดับมาตรฐานต่าง ๆ ให้เทียบเท่าสากล. ข้อเสียคือไทยต้องปรับกฎเกณฑ์หลายด้านตามข้อตกลง ซึ่งอาจกระทบเกษตรกร (เรื่องพันธุ์พืชและเมล็ดพันธุ์) และส่งผลให้ยารักษาโรคมีราคาแพงขึ้น นอกจากนี้ ธุรกิจท้องถิ่นอาจเผชิญการแข่งขันที่สูงขึ้น และรัฐมีข้อจำกัดมากขึ้นในการออกนโยบายเพื่อปกป้องประโยชน์สาธารณะ

CPTPP คืออะไรในมุมของไทย?
CPTPP คือข้อตกลงการค้าเสรีฉบับใหม่ที่ประเทศไทยกำลังพิจารณาจะเข้าร่วม เนื่องจากมีทั้งโอกาสและความท้าทายต่อประเทศ ในด้านหนึ่ง CPTPP เปิดโอกาสทางเศรษฐกิจ เช่น การค้าการลงทุนระหว่างประเทศที่เพิ่มขึ้น แต่อีกด้านหนึ่งก็มีเงื่อนไขที่ไทยต้องยอมรับ ซึ่งอาจส่งผลต่อภาคเกษตรกรรม สาธารณสุข และนโยบายของประเทศ ไทยจึงยังอยู่ระหว่างการชั่งน้ำหนักข้อดีข้อเสียเหล่านี้อย่างรอบคอบก่อนตัดสินใจเข้าร่วมหรือไม่เข้าร่วม

Click to rate this post!
[Total: 2 Average: 5]

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *